15 ความจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับขนมโมจิ

โมจิคือขนมเค้กที่นุ่มและเหนียวทำมาจากข้าวโมจิโกเมะ (ข้าวเหนียว) มันคือของหวานพื้นเมืองของญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวทุกคนควรลองในระหว่างที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น บ่อยครั้งที่โมจิมักจะถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในอาหารตามฤดูกาลที่ดีที่สุดในหมู่อาหารญี่ปุ่น คุณเคยลิ้มลองโมจิมาก่อนไหม? คุณรู้สึกยังไงเมื่อกำลังเคี้ยวมันเป็นครั้งแรกในชีวิตของคุณ? ผมว่ามันต้องเป็นอะไรที่ดีแน่ๆและคุณอยากลองกินมันอีก ใช่เปล่าล่ะ? จำเอาไว้ อย่ากลืนมันในทันที ไม่งั้นคุณจะตกอยู่ในอันตรายจริงๆเลยล่ะ จริงๆแล้ว ชีวิตของคุณสำคัญมากนะ!

แม้ว่าข้าวจะถูกโขลกจนเหนียวยืดติดกันและถูกขึ้นรูปอย่างสมบูรณ์แบบในรูปแบบที่ต้องการ การทำโมจิจะยังคงไม่สำคัญเลยหากใครก็ตามที่พยายามและล้มเหลวที่จะกินมันด้วยวิธีการที่สมบูรณ์แบบ อย่างน้อยก็ไม่สำลัก! ถ้าคุณสงสัยเกี่ยวกับโมจิและมันถูกทำขึ้นได้อย่างไร งั้นความจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับโมจิด้านล่างนี้อาจสามารถบอกทุกสิ่งเกี่ยวกับมันได้ อย่างน้อยคุณจะได้มีความคิดที่ดีบางส่วนว่าโมจิคืออะไร วิธีการทำ เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับโมจิ และอื่นๆอีกมากมาย อ่านให้สนุกนะ!

เริ่มด้วยความจริงที่น่าตกใจ! จริงๆแล้วผู้คนมีสิทธิ์ตายและบาดเจ็บได้ขณะกินโมจิ รายชื่อผู้เสียชีวิตจากการสำลักโมจิในญี่ปุ่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุ ดังนั้นถ้าคุณได้มาญี่ปุ่นกับปู่ย่าตายายของคุณ ให้แน่ใจไว้ว่าคุณได้ติดโมจิเป็นชิ้นเล็กๆก่อนที่จะให้พวกเขากิน โปรดระวังไว้ตลอด!

แม้ว่ามันอาจฆ่าใครสักคนก็ได้ จริงๆแล้วผู้คนชอบกินมันนะ มันมีเหตุผลอะไรล่ะ? คุณสามารถปล่อยอาหารทิ้งไว้ในเมื่อมันมีรสชาติที่น่าลิ้มลองและให้ความสุขเพลินเพลินเป็นอย่างมากได้ไหม? ใช่แล้ว โมจิคืออาหารที่คุณไม่สามารถหันหลังให้ มันหวานและอร่อยอย่างน่าเหลือเชื่อ! ท้ายที่สุดแล้วรสชาติของมันขึ้นอยู่กับพื้นผิวของมันและข้าวใช้ทำมัน

โมจิสึกิ เป็นพิธีการดั้งเดิมที่สำคัญของปีใหม่ญี่ปุ่นเกิดขึ้นในช่วงปลายปีราวๆวันที่ 25-28 ธันวาคม มันไม่มีอะไรเลยนอกจากโขลกทุบข้าวเพื่อทำโมจิ เพื่อทำให้งานเสร็จต้องใช้คนอย่างน้อยสองคนกับเครื่องมือในการทำโมจิอย่างเช่น ยูสุ (ครกแบบดั้งเดิม) ยูสุได (ฐานของครก) และ คิเนะ (ค้อนไม้)

ข้าวโมจิโกเมะจะถูกล้างและแช่ในน้ำข้ามคืนก่อนที่จะมีการทำโมจิสึกิขึ้น

การทำโมจิสึกิฟังดูง่ายแต่ของจริงคือมันใช้เวลาและความพยายามเป็นอย่างมากในการทุบโขลกข้าวด้วยจังหวะสม่ำเสมอ หากใครคนใดคนหนึ่งพลาดจังหวะไปแปลว่าเรื่องแย่ๆกำลังจะเกิดขึ้น มันอาจทำร้ายใครสักคน โดยเฉพาะคนที่ทำหน้าที่พลิกก้อนข้าวให้ทั่วๆและใส่น้ำเข้าไป รู้ไหมเพราะอะไร? เขาหรือเธอที่ใส่น้ำเข้าไปเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้โมจินั้นเหนียวติดค้อนไม้หรือมือ ยิ่งโขลกโมจิมากครั้งเท่าไหร่ ยิ่งได้เนื้อโมจิที่เหนียวเหนอะและเนื้อแน่นเท่านั้น จริงๆแล้ว ถ้าคุณโขลกทุบโมจิอย่างต่อเนื่อง โมจิจะมีฟองอากาศขึ้น อากาศและน้ำคือวัตถุดิบของโมจิอย่างไม่ต้องสงสัย

มันมักถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆว่าการเป็นสักขีพยานในกระบวนการทำโมจิมันน่าสนใจและสนุกสนานกว่ากินมันเป็นอย่างมาก การทำโมจินั้นเต็มไปด้วยความสนุกและเพลิดเพลินไปกับมันแทบทุกๆนาทีจนกว่าจะทำเสร็จ

โมจิไม่ได้เป็นของกินเสมอไป ผู้คนยังใช้มันเป็นมาตรฐานในการตกแต่งอีกด้วย ในวัฒนธรรมของญี่ปุ่น มันมีการตกแต่งงานปีใหม่แบบดั้งเดิมที่เรียกว่า คากามิ โมจิ (Kagami Mochi) ซึ่งจริงๆแล้วหมายความว่า กระจกเค้กข้าวโมจิ มันดูสวยงามมากเมื่อมันถูกตกแต่งโมจิทรงกลมสองลูกและส้มญี่ปุ่นหรือที่เรียกว่า ไดได (daidai) โมจิสองลูกแล้วก็ไดไดถูกใช้เพื่อทำคากามิ โมจิ ไดไดถูกวางไว้ข้างบนโมจิทั้งสองลูกในขณะที่โมจิลูกที่เล็กกว่าก็วางอยู่บนลูกที่ใหญ่กว่าอีกที หลังจากนั้นมันก็ถูกจัดวางในสถานที่ที่หลากหลายทั่วทั้งบ้าน โดยปกติแล้วจะมีขึ้นใกล้ๆช่วงสิ้นปีจนถึงวันที่ 11 มกราคม ในอดีต คากามิ โมจิ มักทำกันเองที่บ้าน แต่ตอนนี้คุณสามารถหาได้ที่ร้านสรรพสินค้าทั่วทั้งญี่ปุ่น

ในวันที่ 11 มกราคม คนญี่ปุ่นจะทำลายเครื่องประดับโมจิ (คากามิ โมจิ) และเก็บมันไว้สำหรับโชคลาภและสุขภาพที่ดี งานเฉลิมฉลองปีใหม่ญี่ปุ่นนี้เรียกว่า คากามิ บิรากิ (Kagami Biraki)

โมจิอยู่ได้นานสุดเท่าไหร่? หรือคุณสามารถจินตนาการถึงความสามารถในการจัดเก็บของมันได้ไหม? คนญี่ปุ่นจริงๆแล้วไม่ชอบแช่แข็งมันเป็นเวลานานๆ พวกเขาเลือกที่จะกินมันตอนสดใหม่เสียมากกว่า แต่ถึงกระนั้นหลังจากกินโมจิในวันที่ 11 มกราคม บางส่วนที่เหลือก็สามารถเก็บเข้าตู้เย็นได้เป็นสองสามสัปดาห์ แต่ก็ไม่ควรจะเก็บแช่ตู้เย็นไว้นานขนาดนั้น แค่สองสามวันให้ยังเหลือรสชาติจริงๆของมันก็พอแล้ว

กินโมจิในฤดูหนาวเป็นที่นิยมกันอย่างมากยิ่งกว่ากินมันในเวลาอื่นๆของปี แต่ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล คุณกินมันได้ทุกเวลาที่คุณต้องการเมื่อเที่ยวอยู่ในญี่ปุ่น

อ้างถึงประสบการณ์ของผม โมจิมีในหลากหลายรูปแบบ ไม่น้อยกว่าสิบ! มันมีโมจิหลากหลายรูปแบบมากเท่าที่คุณจะหาเจอได้จากร้านค้า โมจิบางประเภทถูกทำขึ้นเสมือนกับเป็นอาหารตามฤดูกาลโดยเฉพาะ ยกตัวอย่าง โดยปกติแล้วผู้คนจะกิน ซากุเอโมจิ ตอนฤดูใบไม้ผลิ และในทางกลับกัน ผู้คนจะกิน ฮิชิ โมจิ กันระหว่างวันของ ฮินะมัตสึริ ซึ่งมีอีกชื่อว่า วันของเด็กหญิง หรือ วันของตุ๊กตา ถ้าคุณชอบกินสตรอเบอร์รี่ คุณก็น่าจะชอบ อิชิโกะ ไดฟุกุ มันเป็นโมจิแบบหวานอีกรูปแบบหนึ่ง เพิ่มเติมว่าผู้คนจะกินคาชิวะ โมจิในวันเด็ก

โมจินั้นมีหน้าตาคล้ายคลึงกับขนมดังโงะ แต่พวกมันแตกต่างกันนะ ดังโงะนั้นถูกทำจากแป้งทำอาหารแห้งไม่ใช่ข้าวโมจิโกเมะ

โมจิให้แคลอรี่มากแต่ปลอดกลูเตนและคลอเรสเตอรอล! และนั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไมโดยปกติชาวไร่ถึงกินโมจิระหว่างฤดูหนาวยาวนานหลายเดือนเพื่อเพิ่มพละกำลังในอากาศที่หนาวเกรี้ยวกราด

ต้นกำเนิดของโมจิที่ถูกต้องแม่นยำยังไม่ปรากฏ แต่ขนบธรรมเนียมการใช้เค้กข้าวเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลปีใหม่นั้นเริ่มปรากฎขึ้นในช่วงเฮอัง (794-1185)

นากาทานิโดอุ คือร้านค้าโมจิอันโด่งดังในเมืองนารานั้นโดยปกติจะเสนอ โยโมกิ โมจิ แก่ลูกค้า เชิญให้คุณร่วมเป็นสักขีพยานในการทำ โมจิสึกิ คุณจะได้เห็นว่ามันงดงามเพียงใดเมื่อพวกเขาทำจิต่อหน้าคนดูซึ่งรออย่างกระตือรือร้นเพื่อจะดูกระบวนการทำโมจิทั้งหมด พนักงานที่ร้านนั้นเป็นที่รู้จักอย่างดีจากการทำโมจิที่เร็วที่สุดในประเทศ

โมจิคือหนึ่งในแก่นสำคัญของขนมญี่ปุ่น ถ้าคุณรักที่จะกินของหวานญี่ปุ่นในหลากหลายรูปแบบ คุณคงจะรักในการบริโภครสชาติอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างที่สุดของโมจิ ขอบคุณที่อ่าน!

6 บทเรียนน่ารู้จากวัฒนธรรมธุรกิจของชาวญี่ปุ่

มีนักธุรกิจหลายต่อหลายคนที่ถูกย้ายไปทำงานในดินแดนแห่งพระอาทิตย์ขึ้น แล้วกลับมาพร้อมเรื่องเล่าเกี่ยวกับวัฒนธรรมและความแปลกประหลาดของที่นั่น สำหรับเราชาวตะวันตกแล้ว วัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นยังคงเป็นเป็นปริศนาลึกลับที่ห่อหุ้มไว้ด้วยปริศนาลึกลับอีกที

 

แต่ภายใต้พื้นผิวที่น่างงงวยของมันนั้น ยังเต็มไปด้วยสังคมการทำงานที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอีกด้วย ดูได้จากความมั่นคงทางเศรษฐกิจของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องทำข้อตกลงร่วมกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ญี่ปุ่นจะมีพิธีการและระเบียบที่เข้มงวดมาก สำหรับชาวต่างชาติ หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกพวกเราว่า “ไกจิน” ธรรมเนียมการทำธุรกิจของชาวญี่ปุ่นดูจะลึกซึ้งมาก และยึดมั่นในวัฒนธรรมประเพณีที่มีมานานหลายชั่วอายุคนของพวกเขาว่า พวกเขาไม่อาจทำงานให้ชาวตะวันตกได้

 

แต่ถ้ามองผ่านพิธีกรรมไปแล้ว คุณจะเห็นรูปแบบ แนวคิดที่คุ้มค่ากับการทำความเข้าใจมัน อย่างเช่นการเคารพผู้อาวุโส ผู้สูงอายุเป็นต้น ใส่ใจในรายละเอียด และความมุ่งมั่นทางศาสนาที่บอกให้พวกเขาสนุกให้เต็มที่หลังเลิกงาน

 

นี่คือบทเรียน ข้อน่ารู้ที่ได้เรียนรู้มาจากเพื่อนร่วมโลกแถบตะวันออกไกลที่เรานำมาฝากกัน

 

ทำงานบริษัทญี่ปุ่นในไทย

งาน ภาษาญี่ปุ่น | CareerLink.co.th
https://www.careerlink.co.th/category/ภาษาญี่ปุ่น/154

หางานบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย – JobSugoi.com
https://www.jobsugoi.com/

 

เคลือบนามบัตร

 

การประชุมกันในญี่ปุ่นจะเริ่มจากการแลกเปลี่ยนนามบัตรของซึ่งกันและกันอย่างเป็นทางการก่อน เป็นพิธีที่เรียกว่า เมอิชิ โคคัง เมื่อรับมาแล้ว นักธุรกิจต้องรับมาด้วยมือทั้งสองข้างของพวกเขา อ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไป อ่านทวนข้อมูลในบัตรออกมาดังๆ จากนั้นก็วางลงไปในช่องเสียบบัตรหรือบนโต๊ะตรงหน้าเขา เพื่อจะได้พูดได้ถูกต้องเมื่อถึงคราวต้องพูดถึง เขาไม่เคยใส่มันลงไปในกระเป๋าเลย เพราะนั่นหมายถึงการไม่เคารพกันยังไงล่ะ

สิ่งนี้สอนอะไรเรา:

การแลกเปลี่ยนนามบัตรซึ่งกันและกันนี้ เป็นวิธีแสดงถึงการให้ความสำคัญของคนที่คุณคุยด้วย หรือกับคนที่คุณพบเจอ มันแสดงออกว่า คุณให้ความสำคัญกับการประชุมครั้งนี้ เช่นเดียวกับที่คุณจะให้ความสำคัญกับการประชุมครั้งต่อไปในอนาคต

เราจะปรับไปใช้ได้อย่างไร:

คงจะดูตลก และงี่เง่าไม่น้อยถ้าคุณทำตามพิธีกรรม เมอิชิ แบบเต็มรูปแบบที่ประเทศบ้านเกิดคุณ หรือที่ออฟฟิศในอเมริกาเหนือ เมื่อคุณได้รับนามบัตรแล้ว อย่างไรก็ตาม ให้เวลากับมันหน่อยก็ดี พยายามซึมซับข้อมูลในนั้น ไม่เสียหายอะไรถ้าคุณจะจำชื่อคู่ติดต่อของคุณได้ และคุณจะถูกมองว่าหยาบคายทันที ถ้าคุณจับนามบัตรของพวกเขายัดลงไปในกระเป๋าเสื้ออย่างไว

 

คล้อยตามผู้หลักผู้ใหญ่

 

เป็นปกติอยู่แล้วในการประชุมที่ญี่ปุ่นที่จะให้คำแนะนำแรกเริ่มแก่ผู้ที่อาวุโสที่สุดในการประชุมก่อน เราอย่าไปแสดงท่าทางไม่เห็นด้วยกับเขา และคอยให้ความสนใจแก่เขาเป็นประจำ เมื่อโค้งคำนับ ซึ่งเป็นการทักทายขั้นพื้นฐานของชาวญี่ปุ่น ควรจะต้องโค้งให้ต่ำที่สุดตามความอาวุโสที่สุดของคนนั้นๆ

สิ่งนี้สอนอะไรเรา:

วัฒนธรรมการทำธุรกิจของชาวญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับผู้อาวุโสในเรื่องของปัญญา และประสบการณ์ที่พวกเขาให้แก่บริษัท อายุ เท่ากับ ตำแหน่ง ในญี่ปุ่น ดังนั้น ใครที่แก่มากเท่าไร ความสำคัญก็มากขึ้นเท่านั้น

เราจะปรับไปใช้ได้อย่างไร:

คล้อยตามไปกับผู้ที่อาวุโสกว่าคุณ หรือผู้ที่การงานของเขาสูงกว่าคุณ ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับผู้จัดการ ให้แสดงความรู้สึกเสียใจออกมาในที่ส่วนตัว และอย่าได้ถามถึงอำนาจงานของเขาต่อหน้าคนหมู่มาก รู้ไว้ว่าผู้คนได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเพราะทักษะและประสบการณ์ของพวกเขา

รู้เวลาปล่อยอารมณ์ให้ถูกกาลเทศะ

 

กระตุ้นแรงจูงใจด้วยคำขวัญ

 

นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นหลายต่อหลายคนจะเริ่มต้นวันของพวกเขาด้วยการประชุมยามเช้าที่ซึ่งพนักงานจะเข้าแถวตอนเรียงกัน และสวดคำขวัญของบริษัท เพื่อสร้างแรงจูงใจและสำนึกรักบริษัท และเพื่อคอยย้ำถึงเป้าหมายของบริษัทแก่พวกพนักงาน

สิ่งนี้สอนอะไรเรา:

ดูอย่างผิวเผินแล้ว พิธีการนี้อาจดูเหมือนการปลูกฝังวัฒนธรรมอะไรบางอย่าง แต่ชาวญี่ปุ่นเปรียบเหมือนว่า ได้พูดคุยกับคนที่มีแรงบันดาลใจกันมากกว่า การเรียกขวัญ กำลังใจยามเช้าเปรียบได้กับ ให้พนักงานคอยนึกถึงเป้าหมายระยะยาวของบริษัทไว้ในหัว ซึ่งจะโดนบดบังจนมิดด้วยงานที่มหาศาลของพนักงานแต่ละคนในเวลาต่อมา

เราจะปรับไปใช้ได้อย่างไร:

พึงระลึกกับตัวเองเสมอเมื่อคุณนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของคุณว่า เราทำงานเพื่ออะไร อยู่เสมอ รีเฟรชเป้าหมายระยะยาวในใจของคุณ และตระหนักถึงความสำคัญของการทำงานเป็นทีมในการไปให้ถึงเป้าหมายนั่นเอาไว้ คอยเขียนรายการคำขวัญของคุณ เพื่อที่คุณจะได้เอาขึ้นมาอ่านตอนที่คุณรู้สึกท้อ หรือหมดกำลังใจ

 

หน้านิ่งเข้าไว้

 

คุณจะไม่เคยเห็นหน้าตาที่นิ่งเฉยของใครที่ไหน เหมือนกับที่เห็นในออฟฟิศของญี่ปุ่นมาก่อนอย่างแน่นอน เว้นแต่การระเบิดหัวออกมาเป็นครั้งคราวของพวกเขา พนักงานที่นั่นจะเอาแต่ทำหน้านิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ใดๆอยู่ตลอด โดยเฉพาะระหว่างการประชุม พวกเขาจะใช้น้ำเสียงโทนต่ำในการพูด และจะหลับตาอยู่บ่อยครั้งเมื่อต้องการเพ่งความสนใจไปที่ผู้พูด เหล่านี้เป็นอุปนิสัยที่ชาวตะวันตกเข้าใจกันผิดๆไปว่า เป็นสัญญาณของความเบื่อหน่าย

สิ่งนี้สอนอะไรเรา:

ชาวญี่ปุ่นจะมีความเคารพแก่สถานที่ทำงานของพวกเขามาก ไม่ค่อยมีอารมณ์ขัน ยกเว้นการหยอดมุกล้อเลียนกันเล็กๆในช่วงพักเบรก แทบจะไม่มีการสัมผัสกันทางกายภาพใดๆในหมู่เพื่อนร่วมเลย และแน่นอนว่า ไม่มีการแทงข้างหลังกันอย่างแน่นอน

เราจะปรับไปใช้ได้อย่างไร:

สำหรับเราแล้ว สถานที่ทำงานที่มีบรรยากาศมาคุ และเป็นทางการอยู่ตลอดเวลาทำให้เราเหมือนถูกกดขี่อยู่มากกว่า คุณไม่ต้องให้ค่าแก่ออฟฟิศของคุณถึงขนาดว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรอก แต่ไม่ใช่ว่าทำตัวเหมือนกับอยู่บ้านเพื่อนเลยก็ไม่ดี ลักษณะและการปฏิบัติงานที่เป็นมืออาชีพช่วยเพิ่มความเคารพในการทำงานและทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นอีกด้วย

 

ทำงานให้หนัก เล่นให้หนัก

หลังจากวันที่มีการเจรจากันอย่างดุเดือดผ่านพ้นไปแล้ว พนักงานชาวญี่ปุ่นก็เตรียมที่จะทิ้งตัว การไปเที่ยวบาร์หลังเลิกงานเป็นเรื่องปกติทั่วไป หากไม่ได้ยึดตามประเพณีนะ ถ้าหากว่าสถานที่ทำงานเต็มไปด้วยความเข้มงวดและหลักการต่างๆมากมายแล้ว บาร์เหล้านี่แหละจะเป็นที่ๆพนักงาน และนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นจะได้ปลดปล่อยสัญชาตญาณสัตว์ป่าออกมา ที่ชื่นชอบกันตลอดกาลก็คือ บาร์คาราโอเกะ ที่ซึ่งทุกคนสามารถจะร่วมร้องเพลงไปกับนักร้องด้วยกันได้ แม้ว่านักร้องจะคุมโทนเสียงตัวเองไม่ได้เลยก็เถอะ นอกเหนือจากเป็นที่รักษาสมดุลกันระหว่าง การทำงาน และ การเล่น แล้ว ที่เที่ยวยามค่ำคืนยังเป็นจุดที่เชื่อมความสัมพันธ์กันระหว่างเพื่อนร่วมงานด้วยกัน เสริมสร้างการทำงานเป็นทีมให้ดียิ่งขึ้นได้อีกด้วย

สิ่งนี้สอนอะไรเรา:

ถือเป็นเรื่องสำคัญเลยว่า อย่าให้การงานมาครอบงำชีวิตของคุณ การพักผ่อนถือเป็นส่วนสำคัญของวันหนึ่งๆเลย มันช่วยปลดปล่อยความเครียดสะสม และคลายความวิตกกังวลให้แก่คุณ

เราจะปรับไปใช้ได้อย่างไร:

ไม่เป็นไรถ้าหากคุณจะลืมนึกถึงเรื่องงานไปสักระยะหนึ่ง แม้กระทั่งตอนอยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมงานก็เถอะ มีความสุขกับชั่วโมงแห่งความสุขนี้และไปร่วมงานเลี้ยงของออฟฟิศเสีย การทำตัวเข้ากับสังคมและเป็นกันเองกับเพื่อนร่วมงานของคุณนอกเวลางานจะช่วยให้คุณเป็นมนุษย์มากขึ้น

 

ใช้เส้นสายเป็นการรับรอง

เส้นสายถือเป็นสิ่งสำคัญในญี่ปุ่น และจะถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้งในการเปิดการเจรจา การได้อยู่ภายใต้ร่มเงาของผู้ที่มีอำนาจมาก จะทำให้คุณมีความสำคัญมากขึ้นในแวดวงอื่นๆ เป็นเรื่องปกติของนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นที่จะจัดให้มีการประชุมเดี่ยวกับผู้บริหารระดับสูง เพื่อขอการรับรองจากพวกเขา เป็นที่น่าประทับใจอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณได้รับการรับรองจากบุคคลที่มีตำแหน่งเดียวกันกับคนที่คุณกำลังติดต่อด้วย

สิ่งนี้สอนอะไรเรา:

การได้รับอนุมัติจากคนที่ประสบความสำเร็จ อาจทำให้เห็นถึงความอุสาหะ และความสามารถในการหากำไรเข้าบริษัทในตัวคุณ ชาวญี่ปุ่นจะรู้สึกผูกพัน และจะจงรักภักดีต่อการรับรองจากเพื่อนที่นับหน้าถือตากัน

เราจะปรับไปใช้ได้อย่างไร:

เราเรียกว่า “การอ้างชื่อ” ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่ค่อยน่าเคารพสักเท่าไหร่ คุณไม่อยากจะเป็นคนขี้โกหกหรอก แต่ก็เถอะ วิธีนี้มันยังใช้ได้อยู่ สำหรับเรา มันเหมือนกับการขีดเส้นใต้ให้ ความสำคัญของเครือข่าย ทอดสะพานทุกที่ที่คุรไป และคนอื่นๆจะคิดถึงคุณ วันหนึ่ง คุณอาจจะได้รับการรับรอง ซึ่งอาจทำให้คุณได้งานในฝันเลยก็เป็นได้

นวนิยายญี่ปุ่นได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในจีน

ความสนใจของนักอ่านในจีน, ญี่ปุ่น บรรจบกันกลายเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้น, ความตรึงเครียดบรรเทาลง

โตเกียว/ฉงชิ่ง, สาธารณะรัฐประชาชนจีน ถึงแม้ว่าจะมีความต่างกันในหลายๆแง่มุม คนจีนและคนญี่ปุ่นก็มีอารมณ์ความรู้สึกคล้ายกันอย่างชัดเจน

อีกอย่างหนึ่ง จะมีใครบ้างที่สามารถอธิบายถึงความสำเร็จของนวนิยายญี่ปุ่น “Miracles of the Namiya General Store” ที่ติดอันดับหนังสือขายดีที่สุดในช่วงเดือน มกราคม-มิถุนายน บน เว็บไซต์ Amazon ของประเทศจีนไหม

อันดับที่สองและสามคือ “We Three” โดย หยาง เจียง และ “Homo Dues: A Brief History of Tomorrow” โดย ยูวาล โนอา ฮารารี่

“คนจีนมีความอยากรู้อยากเห็นสูงและความปรารถนาในสิ่งต่างๆจากต่างประเทศ” กล่าวโดยนักเขียนหนังสือชาวจีนคนหนึ่ง

“Miracles of the Namiya General Store” ผลงานเมื่อปี 2012 โดย เคโงะ ฮิกาชิโนะ อายุ 59 ปี ติดอันดับที่สองของหนังสือออนไลน์ที่ขายดีที่สุด เนื้อเรื่องกล่าวถึงร้านขายของชำร้างในพื้นที่รอบนอกของเมืองผู้เดินทางอันกว้างใหญ่ หน้าต่างบานเกล็ดถูกปิดตายหลังจากการจากไปของเจ้าของร้านเมื่อนานมาแล้ว แต่ผู้คนก็ยังคงแวะไปที่ร้านอันว่างเปล่านั้น มันมีข่าวลือว่าที่ปรึกษาส่วนตัวถูกจัดหามาสำหรับตัวปัญหาที่ชอบส่งข้อความผ่านกล่องจดหมายตรงหน้าต่างบานเกล็ด

และมีการตอบกลับมาจากโลกอนาคต

“นวนิยายญี่ปุ่นพรรณนาถึงปัญหาต่างๆที่ชาวจีนกำลังประสบในขณะนี้ เช่น การศึกษาของเด็ก การมีปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ด้วยกันที่หายไป การทำงานที่หนักเกินไปและความเครียด” กล่าวโดย หยี เสียวหลี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาษาญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยเสฉวน

“ชาวจีนสามารถระบุตัวละครในนวนิยายญี่ปุ่นได้” หยี กล่าวเพิ่มเติม

รายได้โดยเฉลี่ยต่อหัวของสาธารณรัฐประชาชนจีนอยู่ที่ 8,000 ดอลล่าห์สหรัฐ เทียบกับของประเทศญี่ปุ่นที่ 39,000 ดอลล่าห์สหรัฐ แต่มันสูงถึง 10,000 ดอลล่าห์สหรัฐในภูมิภาคใกล้ชายฝั่ง ซึ่งทำให้การใช้ชีวิตของผู้คนเป็นระบบระเบียบยิ่งขึ้น

การกระชับมิตรทางการเมืองยังช่วยให้การเข้าถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นในสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นไปโดยง่าย มันไม่มีสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจอีกต่อไปแล้วเกี่ยวกับการที่สำนักพิมพ์ตีพิมพ์เรื่องที่เป็นญี่ปุ่นหรือร้านขายหนังสือวางขายหนังสือญี่ปุ่นบนชั้นวางของพวกเขา

สิ่งเหล่านี้จะไม่มีทางเป็นแบบนี้เลยในปี 2010-12 เมื่อความตรึงเครียดแบบทวิภาคีถึงขีดสูงสุดในเรื่องของความขัดแย้งด้านดินแดนทะเลจีนตะวันออก และท่ามกลางการประท้วงข้ามชาติต่อต้านญี่ปุ่น

ผู้นำของทั้งสองประเทศ สี จิ้นผิง และ ชินโซ อาเบะ ได้พบกันทุกปีตั้งแต่ปี 2014 แม้ว่าพวกเขาจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันในหลายๆเรื่อง รวมถึงเรื่องที่ สาธารณัฐประชาชนจีนพยายามควบคุมทะเลจีนใต้ และความสัมพันธ์ของจีนระหว่างเกาหลีเหนือ

ที่ Sisyphe Park Books & Up Coffee ใน ฉงชิ่ง ตะวันตกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน หนังสือญี่ปุ่นถูกกองสูงอยู่บนโต๊ะ “ในบรรดาหนังสือต่างชาติด้วยกันแล้ว หนังสือญี่ปุ่นขายดีที่สุด” พนักงานกล่าว

สำนักพิมพ์ในปักกิ่งที่ตีพิมพ์งานของ ฮิกาชิโนะ Thinkingdom Media ได้ตีพิมพ์ผลงานของ ฮิกาชิโนะ ไป 45 เรื่องตั้งแต่ปี 2009 และขายไปได้ทั้งหมด 16 ล้านเล่ม ในประเทศจีน “Miracles of the Namiya General Store” เรื่องเดียวก็ขายไปได้มากกว่า 4 ล้านเล่มแล้ว สำนักพิมพ์กล่าว

“ในตอนนี้ Thinkingdom Media ได้วางขายหนังสือญี่ปุ่นถึง 2,000 เล่ม รวมถึงนิยายภาพด้วย การจัดจำหน่ายหนังสือพวกนี้เติบโตถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี” กล่าวโดย จาง ลิง กรรมการบริษัทที่ถือสิทธิ์ในการตีพิมพ์

ตามที่ Dangdang.com กล่าว เว็บขายหนังสือออนไลน์ของจีน หนังสือญี่ปุ่น 12 เรื่อง ติดอันดับ 100 เมื่อปีที่แล้ว โดยมี 4 ผลงาน ของ ฮิกาชิโนะรวมอยู่ด้วย “Totto-Chan: The Little Girl at the Window” โดย เท็ตสึโกะ คุโรยานางิ “Baby Bear Picture Book” โดย โยโกะ ซาซากิ และ “A Compass to Fulfillment” โดย คาซุโอะ อินาโมริ

มัตสึริ, งานเทศกาลญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงต่างๆ

มันมีงานเทศกาลหรือที่เรียกว่า มัตสึริ (Matsuri) หลากหลายมากในญี่ปุ่นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่งานเทศกาลทางศาสนาไปจนถึงงานเทศกาลการเก็บเกี่ยว คุณจะเจอกับสังคมคนท้องถิ่นเฉลิมฉลองกันในงานพวกนี้ งานเฉลิมฉลองบางงานได้รับการสนับสนุนโดยศาลเจ้าหรือวัดในพื้นที่นั้นๆ การจัดเตรียมงานเทศกาลนั้นเริ่มขึ้นเป็นหลายสัปดาห์ก่อนถึงวันงานและมีการออกแบบตกแต่งงานอย่างละเมียดละไม การเดินขบวนพาเหรดที่น่าตื่นตา เพลงพื้นบ้านและการเต้นรำ คืออีกสองสามตัวอย่างที่คุณจะได้เจอในหลายๆเมืองทั่วทั้งญี่ปุ่น

เทศกาลหิมะซัปโปะโระ, ฮ็อกไกโด

เทศกาลหิมะซัปโปะโระหรือ ซัปโปะโระ ยูกิ มัตสึริ เป็นงานแสดงยาวหนึ่งอาทิตย์ แสดงปติมากรรมหิมะขนาดใหญ่ น้ำแข็งที่ถูกแกะสลักเป็นร้อยๆอัน และมีการแสดงคอนเสิร์ตตลอดทั้งงานอีกด้วย

สถานที่: จัดงานบนพื้นที่สามส่วนคือ สวนสาธารณะโอโดริ ย่านการค้าซูซูกิโน และโดมในซัปโปะโระ

วันที่: 6 กุมภาพันธ์ ถึง 12 กุมภาพันธ์

เทศกาลอะโอโมริ เนบุตะ, อะโอโมริ

คุณจะเห็นโคมไฟแสงสีเนบุตะที่ทำจากกระดาษเปเปอร์มาเช่ ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบจากโรงละครคาบูกิอันโด่งดัง มันยังมีตัวละครจากประวัติศาตร์และตัวละครที่ลึกลับซึ่งเป็นตัวดึงดูดความสนใจหลักๆของงานเทศกาลนี้ ร่วมไปกับขบวนโคมไฟด้วยเครื่องดนตรีฟลุตและกลองไทโกะ และนักเต้นอีกกว่าร้อยคนที่รู้จักในนาม ฮาเนโตะ (Haneto) ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าร่วมงานได้ตราบใดที่สวมใส่ชุดเต้นฮาเนโตะ และอย่าลืมเข้าไปร่วมวงกับนักเต้นขณะที่เฉลิมฉลองงานกันอยู่ด้วยล่ะ มันเป็นงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ในภูมิภาคโตโฮคุและดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นล้านๆคนต่อปี

สถานที่: เมืองต่างๆในจังหวัดอะโอโมริ

วันที่: 2 – 7 สิงหาคมโดยประมาณ

การเข้าร่วมงาน: เดินทางจากโตเกียวโดยใช้สายรถไฟ JR Tohoku bullet train ไปยังสถานีชินอะโอโมริ เปลี่ยนเส้นทางจากรถไฟเป็นรถไฟ JR เพื่อไปยังสถานีอะโอโมริ

เทศกาลคันดะ, โตเกียว

เทศกาลคันดะเป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียวและเป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่ดีที่สุดในการเป็นสัญลักษณ์ของยุคเอโดะ มันถูกจัดในทุกๆปีเลขคี่ (ตัวอย่างเช่นปี 2015, 2017) เทศกาลคันดะคืองานเทศกาลของศาลเจ้า คันดะ เมียวจิน เพื่อเป็นเกียรติให้กับเทพเจ้า ไดโคคุเค็น (หนึ่งในเทพเจ้าทั้งเจ็ดแห่งโชคและสิ่งดีๆ) อีบิซุ (เทพเจ้าแห่งการประมงและโชคลาภ) และ ไทระ โนะ มาวาคาโดะ ขุนนางของศตวรรษที่ 10 ซึ่งถูกเคารพบูชาและยกย่องประหนึ่งเป็นเทพเจ้า ศาลเจ้าแบบเคลื่อนที่ได้ถูกพาเดินขบวนไปตามท้องถนนเพื่อนำพาสิ่งดีๆและให้พรแก่ประชากรท้องที่ นอกจากนี้ยังมีนักดนตรี นักเต้น อีกเป็นร้อยๆ

สถานที่: ศาลเจ้า คันดะ เมียวจิน

วันที่: วันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ใกล้วันที่ 15 พฤษภาคมที่สุด และทุกๆปีเลขคี่

งานเทศกาลแห่กลางคืน (ชิชิบุ โยมัตสุริ), ไซตามะ

ด้วยโคมไฟรื่นเริง ศาลเจ้า (Mikoshi) และการแสดงพลุไฟ เทศกาลงานกลางคืนชิชิบุมีขึ้นสำหรับศาลเจ้าชิชิบุและเป็นอีกหนึ่งเทศกาลลอยโคมลูกโป่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โคมถูกจุดไฟด้วยตะเกียงและถูกประดับด้วยสีสว่างมากมาย โคมไฟบางอันอาจกลายเป็นเวทีแสดงละครแบบคาบูกิและมีการแสดงละครนั้นตลอดเทศกาล เทศกาลจบลงด้วยโคมไฟทุกอันเรียงแถวกันที่ศาลากลางและตามมาด้วยการแสดงพลุอีกกว่าสองชั่วโมง

สถานที่: ศาลเจ้าชิชิบุ เมืองชิชิบุ จังหวัดไซตามะ จากสถานีอุเอโนะในโตเกียว ใช้เส้นทางรถไฟ JR ไปยังสถานีคุมะกายะ จากนั้นเปลี่ยนเส้นทางไปยังระบบรถไฟชิชิบุเพื่อไปยังสถานีชิชิบุ

วันที่: 2-3 เดือนธันวาคม

 

เทศกาลทากายามะ, กิฟุ

เทศกาลทาคายามะถูกจัดขึ้นในทุกๆฤดูใบไม้ผลิ (เป็นเทศกาลของศาลเจ้าฮิเอะ สวดภาวนาเพื่อการเก็บเกี่ยวที่ดี) และฤดูใบไม้ร่วง (เทศกาลของศาลเจ้าฮะจิมัน) มันเป็นเทศกาลที่มีโคมไฟที่สวยงามที่สุดเทียบเท่ากับงานเทศกาลกิออน และ ชิชิบุ โยมัตสุริ เทศกาลนี้เป็นเทศกาลดูโคมไฟที่สวยงามโดยมีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 โดยโคมไฟแต่ละอันถูกตกแต่งอย่างสวยงามแสดงให้เห็นถึงงานฝีมือที่สุดยอดโดยศิลปินของเมืองกิดะ มันต้องเป็นที่จดจำไว้ว่าโคมไฟ (ยาไต) ถือว่าเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมโดยรัฐบาลแห่งชาติ

สถานที่: เมืองทากายะมะ จังหวัดกิฟุ

วันที่: ในฤดูใบไม้ผลิ (วันที่ 14-15 เมษายน) และในฤดูใบไม้ร่วง (วันที่ 9-10 ตุลาคม)

เทศกาลทานาบาตะ, มิยากิ

ต้นกำเนิดของเทศกาลทานาบาตะคือการสวดภาวนาเพื่อการเก็บเกี่ยวที่ดี ต่อมาในฤดูใบ้ไม้ร่วงกลายมาจากพิธีชำระล้างของญี่ปุ่นในสมัยโบราณที่จัดขึ้นในวันที่ 7 กรกฎาคม และเกี่ยวข้องกับเทศกาลอุบอน หลังจากการเฉลิมฉลองของการพบกันระหว่าง เทพเจ้าโอริฮิเมะ (เจ้าหญิงแห่งการถักทอ) และเทพเจ้าฮิโกโบชิ (จ่าฝูงของวัว)  จากจีนในศตวรรษที่ 8 เทศกาลทั้งสองนั้นผสมผสานรวมกันและเฉลิมฉลองเป็นเทศกาลหนึ่งเดียว เทศกาลทานาบาตะสมัยใหม่เป็นที่รู้กันว่ากลายมาจากเทศกาลดวงดาวแบบดั้งเดิมของจีน และเทศกาลนี้ยังเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในสามเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ในแถบภูมิภาคโตโฮกุ สิ่งที่โดดเด่นหลักๆของเทศกาลนี้คือการประดับตกแต่งแบบทานาบาตะที่สวยงามและสีสันสดใส สามารถพบเจอได้ตลอดที่เซนไดและห้างสรรพสินค้าใกล้เคียง

สถานที่: เมืองเซนได จังหวัดมิยากิ ใกล้กับสถานีรถไฟ JR เซนได

วันที่: 6-8 สิงหาคม

 

เทศกาลกิออน, เกียวโต

เทศกาลกิออนคือเทศกาลที่จัดงานยาวทั้งเดือนของศาลเจ้ายาซากะ จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม โดยดั้งเดิมนั้นเริ่มจัดขึ้นเป็นพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อกำจัดโรคระบาดที่แพร่กระจายไปทั่วญี่ปุ่นในปี 869 สิ่งหลักๆของเทศกาลนี้คือขบวนโคมไฟที่ยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่า ยามาโฮโกะ จุนโกะ (ถูกขึ้นทะเบียนว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติโดยองค์กร UNESCO) ขบวนโคมไฟเริ่มขึ้นในวันที่ 17 และ 24 เดือนกรกฎาคม บนถนน ชิโจ คาวารามาชิ และ ถนน โออิเกะ

สถานที่: บริเวณชิโจ คาราซุมาอิ

วันที่: ตลอดทั้งเดือนกรกฎาคม

เทศกาลอาโออิ, เกียวโต

มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการคือ เทศกาลคาโมะ มันเป็นเทศกาลสำหรับทั้งศาลเจ้าชิโมกาโมะและศาลเจ้าคามิกาโมะในเกียวโต ในปัจจุบันเทศกาลนี้เป็นที่รู้จักจากขบวนพาเหรดที่สวยสง่าด้วยผู้ร่วมขบวนที่แต่งตัวในชุดคลาสสิคในยุคสมัยเฮอัน

สถานที่: เกียวโต

การเข้าร่วมงาน: ขบวนพาเหรดแยกตัวออกจากพระราชวังจักรพรรดิ ผ่านทางศาลเจ้าชิโม กาโมะและไปสิ้นสุดที่ศาลเจ้าคามิกาโมะ

วันที่: วันที่ 15 เดือนพฤษภาคม

 

เทศกาลเท็นชิน, โอซาก้า

เทศกาลเท็นชินเป็นเทศกาลที่ใหญ่และเป็นหนึ่งในเทศกาลที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น มันเป็นเทศกาลของศาลเจ้าเท็นมันกุในโอซาก้าและเป็นเทศกาลที่ถวายเครื่องบรรณาการแก่ ซุกาวาระ โนะ มิชิซาเนะ (เทพเจ้าแห่งการเรียนรู้และศิลปะ) เทศกาลนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือขบวนพาเหรดภาคพื้นดินซึ่งเข้าร่วมโดยคนท้องที่เป็นพันๆคนรวมถึงมือกลอง นักเต้น และนักแสดงที่สวมใส่ชุดพื้นเมือง ถูกจัดขึ้นบนสถานที่บริเวณแม่น้ำโอกาว่า ส่วนที่สองในตอนกลางคืน ผู้เข้าร่วมและศาลเจ้าแบบเคลื่อนที่ได้จะย้ายไปที่เรือเป็นขบวนทางน้ำและมีการแสดงพลุ

สถานที่: ศาลเจ้าโอซาก้า เท็นมันกุ ใกล้กับสถานีโอซาก้า เท็นมันกุ

วันที่: 24-25 กรกฎาคม

เทศกาลนาดะ โนะ เค็นคะ, เฮียวโกะ

เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นเทศกาลแห่งการต่อสู้และเป็นหนึ่งในเทศกาลที่โด่งดังและดุดันที่สุดในญี่ปุ่น โคมไฟยาไตเป็นสัญลักษณ์ทั้งเจ็ดเขตของฮิเมจิมารวมตัวกันและเคารพบูชากันที่ศาลเจ้ามัตซึบาระ ฮาชิมัน ร่วมโดยขบวนเดินเท้า ดนตรี และการแสดงชุดสีสันสดใส ในวันที่สอง มิโกชิ หรือ ศาลเจ้าเคลื่อนที่ได้ขนาดใหญ่ถูกพาเคลื่อนออกมาโดยตัวแทนของแต่ละเขต (เฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่จะเข้าร่วมได้) ตัวแทนเหล่านั้นเข้าสู่ลานประลองและเริ่มต่อสู้กัน มันมีกลุ่มคนเป็นพันๆมารวมตัวกันบนเนินเขาเพื่อเป็นสักขีพยานในงานครั้งนี้ มีความเชื่อกันว่าเมื่อผ่านการกระทำตามหลักศาสนาครั้งนี้ หมู่บ้านที่เข้าร่วมด้วยจะได้รับการอวยพรจากพระเจ้าเพื่อการเก็บเกี่ยวและสิ่งที่ดี

สถานที่: ภูเขาโอตาบิและศาลเจ้ามัตซึบาระ ฮาจิมัน

การเข้าร่วม: จากสถานีฮิเมจิ โดยสารรถไฟฟ้าไปยังสถานีชิระฮะมะโนมิยะหรือสถานี เมกะ เดินเท้าราวๆ 10-15 นาทีไปยังศาลเจ้าหรือภูเขาโอตาบิ

วันที่: 14-15 ตุลาคม

 

เทศกาลไซไดจิ ไอยู (ฮาดากะ มันสึริ), โอกายาม่า

ไซไดจิ ไอยู มัตสึริ หรือรู้จักอีกชื่อหนึ่งคือ ฮาดากะ มัตสึริ คือหนึ่งในสามเทศกาลที่พิศดารที่สุดในญี่ปุ่นและมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 500 ปี

ผู้ชายราวๆ 10,000 คนนุ่งแค่ผ้าเตี่ยวฟุนโดชิแบบดั้งเดิม ชำละล้างร่างกายด้วยน้ำเย็นๆ ก่อนที่จะมุ่งมั่นฝ่าฟันกันแย่งตะเกียบศักดิ์สิทธิ์ (ชินจิ) ที่ถูกโยนลงมาจากข้างบนวัด ใครก็ตามที่ได้ตะเกียบศักดิ์สิทธิ์ไปจะได้รับการนับถือว่าเป็นคนที่โชคดี และได้รับการอวยพรให้โชคดีและมีแต่ความสุขตลอดทั้งปี

สถานที่: วัดไซไดจิ, โอกายาม่า

การเข้าร่วม: เดินเท้าจากสถานีรถไฟ JR ไซไดจิ

วันที่: วันเสาร์ที่สามของเดือนกุมภาพันธ์

เทศกาลอาวะ โอโดริ, โทกุชิมะ

เทศกาลเต้นรำสำหรับการกลับมาของวิญญารบรรพบุรษ อาวะ โอโดริเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยทั่วประเทศด้วยนักเต้นกว่าร้อยคน ซึ่งเรียกว่า เร็น (Ren) แข่งขันกันแสดงการเต้น เทศกาลนั้นมีสีสันสวยงาม เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ดนตรีที่เล่นกันสดๆ และยังมีนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมด้วย สิ่งดึงดูดความสนใจหลักๆเริ่มต้นที่เวลา 18:00 เมื่อกลุ่มนักเต้นเริ่มทำการแสดงในหลายๆส่วนของเมืองโทกุชิม่าจนถึงเวลา 22:30 มีด้วยกันเจ็ดเวทีตั้งอยู่โดยรอบพื้นที่เทศกาล โดยมีด้วยกันสองตัวเลือกคือ ที่นั่งที่สำรองไว้ (โดยมีค่าบริการที่ไม่แพงมาก) หรือ ที่นั่งปกติที่ไม่ต้องเสียค่าบริการ

สถานที่: ใกล้กับสถานีรถไฟ JR โทกุชิมะ รายละเอียดเพิ่มเติมที่

การเข้าร่วมงาน: เดินเท้าแค่สิบนาทีจากสถานีรถไฟ JR ไซไดจิ

วันที่: วันที่ 12-15 สิงหาคม

เทศกาลฮากาตะ กิออน ยามากาสะ, ฟุกุโอกะ

เทศกาลฮากาตะ กิออน ยามากาสะ คือพิธีกรรมทางศาสนาชินโตที่อุทิศให้กับศาลเจ้าคุชิดะ ศาลเจ้าขนาดใหญ่ที่เป็นผู้ปกครองของฮากาตะ และเป็นหนึ่งในเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของคิวชู เป็นที่เชื่อกันว่าเทศกาลนี้ได้พัฒนามาจากตำนานในยุคศตวรรษที่ 12 ว่านักบวชศาสนาพุทธถูกแบกโดยผู้คนในเมือง พรมน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อขจัดโรคภัยที่ระบาดทั่วเมือง มันถูกอ้างอิงว่าเป็นสถานที่ทางวัฒนธรรมซึ่งจับต้องไม่ได้ที่สำคัญพร้อมด้วยประวัติศาสตร์ความเป็นมาและประเพณี มีโคมไฟ (ยามากาสะ) ด้วยกันสองแบบที่ถูกใช้ในเทศกาลนี้ คือ กาซาริยามะ (โคมไฟตกแต่ง) และ กากิยามะ (โคมไฟลอย) โคมไฟเล่านี้ถูกทำขึ้นโดยย่านที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกันในฟุกุโอกะ สิ่งที่โดนเด่นของเทศกาลนี้คือในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 15 กรกฎาคม เมื่อทีม (นากาเระ) ทั้งเจ็ดทีมจากเจ็ดพื้นที่ในฮากาตะมารวมตัวกันพร้อมด้วยโคมไฟกากิยามะที่ศาลเจ้าคุชิดะ จินจะ และแข่งกันแบกโคมไฟบนไหล่

สถานที่: ศาลเจ้าคุชิดะ จินจะ, ฮากาตะ, ฟุกุโอกะ

วันที่: ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 15 ของเดือนกรกฎาคม

เทศกาลคารัตสึ คุนชิ, ซากะ

เทศกาลคารัตสึ คุนชิ เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นในฤดูไม้ใบร่วงของศาลเจ้าคารัตสึ คุนชิ ซึ่งมีโคมไฟ (Hikiyama) ขนาดใหญ่ทั้ง 14 อัน ที่ถูกทำจากกระดาษวาชินับร้อยๆแผ่น ผ้าลินิน และไม้ และถูกปกคลุมด้วยน้ำมันขัดเงาหลากหลายแบบ เสร็จสิ้นขั้นตอนการทำด้วยใบไม้ทองใบไม้เงิน มันเป็นสถานที่ทางวัฒนธรรมพื้นเมืองซึ่งจับต้องไม่ได้ที่สำคัญซึ่งถูกจัดตั้งโดยรัฐบาลญี่ปุ่น  มันเป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญมากในคิวชูที่รวบรวมจินตนาการของผู้ชมเป็นจำนวนมากและมีจำนวนผู้เข้าร่วมที่เยอะมากเช่นกัน จุดเด่นของเทศกาลนี้คือ โอตาบิโช ชินโกะ ถูกจัดขึ้นในวันที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายน วันที่โคมไฟ 14 อันถูกพาถูกเดินขบวนและถูกลากไปตลอดทั่วทั้งเมือง

วันที่: 2 ถึง 4 เดือนพฤศจิกายน

อาหารพื้นเมืองต่างๆของญี่ปุ่น

ทั้งสุกี้ยากี้หรือที่แปลกใหม่หน่อยก็คือซูชิต่างก็เป็นที่รู้จักในตะวันตกเหมือนกัน อาหารญี่ปุ่นเริ่มได้รับความนิยมชมชอบมากขึ้นในหลายปีที่ผ่านมานี้จากทั่วโลก นักท่องเที่ยวหลายคนที่มาเที่ยวที่ญี่ปุ่นต่างต้องได้ชิมความเพลิดเพลินในการรับประทานปลาดิบหรือกุ้งทอด แต่นักท่องเที่ยวที่มาเป็นครั้งแรกจำนวนน้อยเท่านั้นที่ได้เตรียมพร้อมสำหรับความหลากหลายและความอร่อยของอาหารพื้นเมืองญี่ปุ่น อาหารการกินในญี่ปุ่นคือประสบการณ์ที่สนุกและน่าจดจำไปอีกชั่วชีวิต

ร้านอาหารญี่ปุ่น ในกรุงเทพมหานคร (กทม.)

สุกี้ยากี้

สุกี้ยากี้ถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะด้วยเนื้อวัวสไลด์บางๆพร้อมกับผัก เต้าหู้ และวุ้นเส้น

เท็มปุระ

เท็มปุระคือของทอดด้วยน้ำมันพืชหลังจากที่ชุบด้วยการผสมระหว่างไข่ น้ำ และแป้งสาลี ในบรรดาวัตถุดิบที่ใช้ทอดก็มี กุ้ง ปลาตามฤดูกาลและผักต่างๆ

ซูชิ

ซูชิคืออาหารทะเลดิบชิ้นเล็กๆวางบนก้อนข้าวที่ชุบด้วยน้ำส้มสายชู วัตถุดิบโดยทั่วไปก็คือ ทูน่า ปลาหมึกและกุ้ง แตงกวา หัวไชเท้าดองและไข่หวานก็ยังใช้เป็นวัตถุดิบอีกด้วย

ซาสิมิ

ซาสิมิคือเนื้อปลาหั่นบางๆรับประทานคู่กับซอสถั่วเหลือง

ไคเซกิ เรียวริ

ไคเซกิ เรียวริได้รับการยกย่องว่าเป็นความละเอียดประณีตทางอาหารที่เยี่ยมยอด หลักๆประกอบไปด้วยผักและปลาต่างๆและมีสาหร่ายและเห็ดตามฤดูกาล อาหารนั้นถูกจัดวางตามแต่รสชาติที่พิเศษของมัน

ยากิโทริ

ยากิโทริทำจากเนื้อไก่ชิ้นเล็กๆ ตับ และผัก เสียบด้วยไม้ไผ่และถูกเผาด้วยถ่านร้อนๆ

ทงคัตสึ

ทงคัตสึคือหมูทอดชิ้นบางๆที่นำไปคลุกกับเกล็ดขนมปัง

ชาบู-ชาบู

ชาบู-ชาบูคือเนื้อสันใน เนื้อวัวหั่นบางๆที่ถูกคีบด้วยตะเกียบและพลิกไปมาในหม้อน้ำเดือดๆ หลังจากนั้นจิ้มในซอสก่อนจะถูกกิน

โชบะและอุด้ง

โซบะและอุด้งเป็นอาหารเส้นของญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง โซบะทำจากเมล็ดพืชขนาดเล็กสีเข้ม ส่วนอุด้งทำจากแป้งสาลี ทั้งสองถูกเสิร์ฟไม่ว่าจะเป็นซุปหรือจิ้มในซอสและมีให้เลือกมากเป็นร้อยๆรสชาติ

10 หนังสือที่สอนเด็กๆเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น

วัฒนธรรมประเพณีญี่ปุ่นทำให้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลกลุ่มหลงญี่ปุ่น มันไม่สำคัญว่าจะเป็นวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมหรือวัฒนธรรมแบบร่วมสมัย แต่กระนั้นวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมญี่ปุ่นคือปัจจัยหลักๆที่จะรู้จักวัฒนธรรมเก่าๆย้อนกลับไปเมื่อพันปีก่อนหน้านี้ วันนี้ผมได้นำหนังสือเด็กทั้ง 10 เล่มที่น่าสนใจที่ช่วยสอนพวกเด็กๆให้รู้จักกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น หนังสือพวกนั้นถูกวาดเขียนและตกแต่งด้วยภาพที่มีสีสันและข้อเท็จจริงที่น่าเพลิดเพลิน เด็กๆในทุกช่วงอายุจะอยากอ่านและจะรู้จักวัฒนธรรมต่างๆได้จากการอ่านหนังสือพวกนี้ ผมมั่นใจว่าคุณอาจจะอยากเซอร์ไพรส์เด็กๆด้วยการให้หนังสือเหล่านี้เป็นของขวัญ

หนังสือเหล่านี้สามารถสอนเด็กๆถึงเรื่อง วรรณคดีญี่ปุ่น, เทศกาล, สวน, สถาปัตยกรรม, กีฬา, อาหาร, การท่องเที่ยว, ขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม, ศาสนา, ผู้คน, เกอิชา, ซามูไร, ประวัติศาสตร์, ภาษา, สังคมบ้านเมือง, ดอกซากุระบาน, ศิลปะ, อะนิเมะและมังงะ มันเป็นหนทางที่ง่ายสุดๆที่จะสอนเด็กๆถึงเรื่องเหล่านั้นโดยมีหนังสือเหล่านี้เป็นตัวช่วย พวกคุณบางคนอาจจะกำลังหาหนังสือสักเล่มเพื่อสอนเด็กๆเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น นี่ไง! ลองเลือกมาสักเล่มและทำให้เด็กๆมีความสุขสิ

All About Japan: Stories, Songs, Crafts and More

ในญี่ปุ่น เด็กๆทุกคนจะได้เรียนรู้การพับกระดาษโดยพื้นฐานหรือที่เรียกว่า โอริกามิ (Origami) รวมทั้งการประดิดประดอยอย่างง่ายๆที่โรงเรียน หนังสือ All About Japan คือแหล่งข้อมูลเพื่อทำความคุ้นชินกับวัฒนธรรมและประเพณีของญี่ปุ่น ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือคู่มือเกี่ยวกับวัฒนธรรมในญี่ปุ่นสำหรับเด็กๆที่มีเนื้อหาครอบคลุม เรื่องราวของหนังสือคือ มีเด็กสองคนเดินทางท่องเที่ยวเพื่อสอนคุณเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่คุนยังไม่คุ้นเคยในสังคมของคุณ ทั้งการใช้ชีวิตแบบญี่ปุ่น, ครอบครัว, บ้าน, โรงเรียน, วันหยุด, สถานที่ท่องเที่ยว และอีกมากมาย คุณยังสามารถรู้ได้ด้วยว่าคนญี่ปุ่นเฉลิมฉลองกันอย่างไรในเทศกาล ฮานามิ มัตสึริ หรือเทศกาลดอกซากุระบาน ซื้อเลย เด็กๆจะได้รู้จักวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่มีอยู่อย่างหลากหลาย แนะนำเป็นอย่างมาก!

A Treasury of Japanese Folktales: Bilingual English and Japanese Edition

เรียกได้ว่ามันเป็นสมบัติของเด็กนักเรียนทั้งในประเทศญี่ปุ่นและนอกประเทศเนื่องจากมันมีสองฉบับภาษา (อังกฤษและญี่ปุ่น) ผู้ที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่และกำลังเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นจะเห็นว่ามันเป็นประโยชน์มาก อีกด้านหนึ่ง เด็กนักเรียนญี่ปุ่นก็สามารถฝึกฝนภาษาอังกฤษได้อีกด้วย หนังสือประกอบไปด้วยตำนานและเทพนิยายญี่ปุ่นชิ้นเอกอันโด่งดังที่สุดทั้งหมด 12 เรื่อง แต่ละเรื่องมีเรื่องราวเฉพาะตัวเพื่อเรียนรู้จากการพัฒนาทัศนคติในแง่ดีและบุคลิกภาพ มันเป็นตัวเลือกที่ดีนะสำหรับเด็กๆที่จะอ่านก่อนนอน

I Live in Tokyo

I Live in Tokyo เป็นหนังสือที่มีเรื่องราวยอดเยี่ยมกับภาพประกอบสีสันชวนอ่าน เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของเด็กหญิงตัวเล็กๆน่ารักวัย 7 ปี ที่ชื่อว่า มิมิโกะ และเธออาศัยอยู่ในเมืองโตเกียวมหัศจรรย์ เธออธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับเทศกาลที่ผู้คนเฉลิมฉลองกัน อาหารที่พวกเขากิน ชุดที่พวกเขาสวมใส่ สถานที่ที่พวกเขามักไปกัน และอื่นๆอีกเยอะ เธอเล่าทีละเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาทำและเฉลิมฉลองกันเดือนต่อเดือน ผมคิดว่าถ้าคุณกำลังหาของขวัญที่น่ารักสักอย่างแก่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ถ้างั้นก็ซื้อเรื่องนี้ไปเลย มันเป็นตัวเลือกที่วิเศษมาก

My Awesome Japan Adventure: A Dairy about the Best 4 Months Ever!

การใช้ชีวิตอยู่ในโตเกียวเป็นเดือนๆสามารถช่วยให้คุณได้รับความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณีญี่ปุ่นได้ ในหนังสือเล่มนี้ คุณจะได้อ่านเรื่องราวของเด็กนักเรียนป. 5 ที่มาอยู่ในญี่ปุ่นและใช้เวลาทั้งสี่เดือนอันสนุกครื้นเครงกับครอบครัวญี่ปุ่นในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน เขาเป็นเด็กที่ฉลาดและจดบันทึกทุกสิ่งอย่างที่เขาได้ไปผจญภัยมาลงในสมุดไดอารี่ส่วนตัวของเขาเพื่อเอาไปเล่าให้เพื่อนฟังเมื่อเขากลับบ้าน เขาได้ไปแวะเที่ยวสถานที่ทางประวัติศาสตร์, กินอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิม, เรียนรู้การใช้แปรงวาดภาพ, เรียนรู้ศิลปะของการโค้งคำนับ, ศาสนาชินโต รวมถึง โอริกามิ, การเก็บเกี่ยวข้าว, การทำข้าวปั้น, ศิลปะการต่อสู้, ภาษา เป็นต้น เด็กๆจะมีทางเลือกอันมากมายที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมญี่ปุ่นและวิถีทางการดำเนินชีวิตของคนญี่ปุ่นได้จากหนังสือเล่มนี้

Let’s Learn About JAPAN: Activity and Coloring Book

นี่คือสมุดภาพระบายสีเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ดีที่สุด มันน่าสนุกนะที่ได้ระบายสีตามแต่ละอย่างในหนังสือ นี้เป็นสมุดภาพระบายสีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เด็กๆเรียนรู้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ญี่ปุ่น, เทศกาล, อาหาร, การประดิษฐ์, ศิลปะ, กีฬา และผู้คน ภาพประกอบมันเจ๋งมากและถูกแนะนำเพื่อให้ความบันเทิงแก่เด็กเป็นอย่างมาก

My First Book of Japanese Words: An ABC Rhyming Book

ถ้าคุณเป็นคนญี่ปุ่น แล้วบังเอิญแต่งงานกับคนชาติอื่น อาศัยอยู่คนละซีกโลก และอยากจะเริ่มฝึกภาษาญี่ปุ่นขั้นพื้นฐานให้กับลูกๆของคุณแล้วล่ะก็ หนังสือนี้เหมาะกับคุณยิ่ง ถือได้ว่าเป็นยาชั้นดีในการเริ่มเรียนภาษาให้ก้าวหน้าไปทีละขั้นแก่เด็กๆ ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นวิธีที่สนุกในการเรียนรู้คำศัพท์พื้นฐานของญี่ปุ่นให้แก่เด็กๆ หรือถ้าคุณไปสอนภาษาญี่ปุ่นที่โรงเรียนแล้วล่ะก็ ลองหยิบหนังสือเล่มนี้ไปประกอบการสอนของคุณดู แนะนำเล่มนี้เลยจริงๆ

Japanese Children’s Favorite Stories: Anniversary Edition

เห็นเล่มนี้แล้ว ผมนี่หวนไห้ถึงอดีตเลย มันเป็นหนังสือเด็กที่อ่านติดมาก เนื้อกระดาษก็ดีเช่นเดียวกัน ถ้าคุณมีเล่มเดิมอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องไปขวนขวายหาฉบับพิมพ์ใหม่นี่ก็ได้ จำได้ว่ามีหลายเรื่องเลยที่ผมโปรดปรานมาก แต่ผมบอกได้ไม่หมดหรอกนะ เพราะผมจำไม่ได้นั่นเอง ทั้งเนื้อเรื่องและภาพประกอบนั้น ทั้งน่ารักและสวยงามมาก ในเล่มนี้ ทุกๆตัวละครและเนื้อเรื่องนั้นถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างชาญฉลาด คุณจะต้องตกหลุมรักตัวละครในเรื่องอย่างแน่นอน พนันได้เลย คุณสามารถหาอ่านนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นคลาสสิคที่ดีที่สุดจากเล่มนี้ได้เลย เรื่องราวภายในเล่มเป็นการจินตนาการเต็มรูปแบบ เต็มไปด้วยความเพ้อฝัน โครงเรื่องน่าสนใจ เสริมทัพด้วยภาพประกอบสุดทึ่ง ยิ่งทำให้หนังสือเล่มนี้งดงามมากขึ้น คุณควรหามาสะสมไว้ก่อนที่คนอื่นจะมาแย่งไป

Japanese Traditions: Rice Cakes, Cherry Blossoms and Matsuri: A Year of Seasonal Japanese Festivities

เดือนธันวาคมของทุกปีจะมีอะไรรออยู่นะ? คุณน่าจะรู้นะ แต่พวกเด็กๆล่ะ? รู้กันรึเปล่า? หนังสือรวมประเพณีพื้นบ้านของญี่ปุ่นสุดงามนี้ได้บรรยายเรื่องราว ความเป็นมาของประเพณีต่างๆนี้ไว้ได้อย่างงดงาม เด็กๆทุกเพศทุกวัยน่าจะชื่นชอบ และสัมผัสไปกับประสบการณ์ของวัฒนธรรมญี่ปุ่นโดยการอ่านหนังสือเล่มนี้ พร้อมดูภาพประกอบสุดเทพไปด้วย ประเทศญี่ปุ่นเองก็เป็นที่รู้จักในเรื่องของการเป็นเจ้าภาพจัดงานประเพณีประจำปีต่างๆร่วมร้อยกว่าประเพณี นอกเหนือจากเรื่องประเพณี เกร็ดน่ารู้แล้ว คุณสามารถเรียนรู้ภาษาของเขา ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น วันชาติในแต่งละวัน งานเตรียมขึ้นปีใหม่ อาหาร และอื่นๆอีกมากมาย ผมขอแนะนำหนังสือเล่มนี้อย่างยิ่งยวด ถ้าคุณกำลังมองหาหนังสือที่พูดถึงวัฒนธรรมของญี่ปุ่น

Japanese Celebration: Cherry Blossoms, Lanterns and star!

นี่เป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่ให้ข้อมูลสำคัญๆเกี่ยวกับงานรื่นเริงของญี่ปุ่น อ่านเข้าใจได้ง่าย พร้อมภาพประกอบสวยๆ สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว ชีวิตที่ปราศจากเทศกาลต่างๆถือเป็นชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย พวกเขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น คุณจะได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับงานฉลองปีใหม่ ประกอบไปด้วยของตกแต่งบ้านต่างๆ อาหารและวิธีการเคารพบูชาศาลเจ้า และวิหารในวันนั้น ไม่เพียงแต่วันขึ้นปีใหม่เท่านั้น ภายในเล่มยังมีข้อมูลของวันสำคัญอื่นๆอีกด้วย เช่นวันวิสาขบูชา วันเด็ก วันคริสต์มาส เทศกาลในหน้าร้อน ฤดูดอกซากุระเบ่งบาน เทศกาลตุ๊กตา และอื่นๆอีกมากมาย หนังสือมันให้ความสนุกแก่เราอีก ด้วยการใส่เกร็ดน่ารู้ของแต่ละเทศกาลให้อ่านเสริมความรู้กันอีกด้วย ผมคิดว่า ตุ๊กตาฮินะที่ทำจากกระดาษน่าจะเป็นที่ถูกใจเหล่าเด็กๆนะ คอนเฟิร์มว่า หนังสือเล่มนี้เหมาะเป็นขอขวัญชั้นเยี่ยมให้กับผู้ที่สนใจในวัฒนธรรมญี่ปุ่น

Life in Old Japan Coloring Book

คุณคิดยังไงเกี่ยวกับญี่ปุ่นยุคโบราณ? มันดึงดูดคุณไหม? ถ้าใช่ จัดหนังสือเล่มนี้โดยพลันแล้วไปทำให้เพื่อนประหลาดใจด้วยความรู้แน่นปึกจากเล่มนี้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยภาพวาดสวยงาม ที่มีทั้งภาพซามูไร ตึกสถาปัตย์ต่างๆ ถนนหลักของเมืองต่างๆในญี่ปุ่น พิธีชงชา เครื่องแต่งกาย และชีวิตประจำวัน หากคุณได้เริ่มอ่านแล้วล่ะก็ คุณจะเลิกระบาย แต่งแต้มสีให้กับภาพต่างๆในเล่มไม่ได้เลย หนังสือภาพระบายสีนี้จะช่วยให้ความรู้เรื่องวัฒนธรรมญี่ปุ่นและประวัติศาสตร์แก่เด็กๆ ให้เด็กๆได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการระบายสี และในที่สุดแล้ว เด็กๆก็จะได้เรียนรู้เรื่องราวที่น่าสนใจในหนังสือไปพร้อมกับระบายสีด้วยกัน

คุณสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เด็กๆโดยปล่อยพวกเขาอ่านหนังสือที่สอนพวกเขาให้เห็นค่าของวัฒนธรรม และประเพณีจากประเทศอื่นด้วย เด็กวันนี้ คืออนาคตของชาติที่จะช่วยผลักดันโลกใบนี้ให้ดียิ่งขึ้น เสริมสร้างสภาพแวดล้อมอันสงบสุข การอ่านคือชีวิตของฉัน บางครั้งฉันก็ลองอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมอเมริกัน จีน เกาหลี อินเดีย รัสเซีย และไทย ดังนั้นแล้ว ฉันหวังว่า คุณทั้งหลาย จะคอยเป็นแรงส่งให้ลูกๆหลานๆของพวกคุณได้เรียนรู้วัฒนธรรมของเราบ้าง ขอบคุณ    

วัฒนธรรมดั้งเดิม ปะทะ วัฒนธรรมสมัยใหม่

ประเทศญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่งดาม มีเสน่ห์ ไม่เหมือนประเทศอื่นใดและสร้างความประทับใจมิรู้ลืมให้แก่คุณ นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ทำให้ญี่ปุ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและควรค่าแก่การมาเที่ยวสักครั้ง

วัฒนธรรมดั้งเดิม

อาหารญี่ปุ่น

อาหารญี่ปุ่น เป็นที่รู้จกและชื่นชอบกันไปทั่วโลกจากความพิถีพิถัน มีรายละเอียดสูงและการนำเสนอที่เฉพาะตัว แต่ละภูมิภาคในญี่ปุ่นก็จะมีอาหารจานพิเศษเฉพาะตัวของภูมิภาคนั้นๆ ด้วยส่วนผสมที่คัดสรรมาอย่างดีเพื่อให้ได้รสที่อร่อยที่สุด ข้าวถือว่าเป็นอาหารหลักและเป็นแหล่งเพิ่มคุณค่าทางอาหารมาหลายชั่วอายุคนและถูกนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆไปทั่ว เช่นเค้กข้าว และเป็นเครื่องปรุงให้กับอาหารหลากหลายจานด้วยกัน ไล่ไปตั้งแต่ซูชิ โอโคโนมิยากิ เทปันยากิ เทริยากิ เทมปุระ อุด้ง และยากิโทริ

วัด (ชุคุโบะ)

วัดและศาลเจ้าเป็นที่ให้กับผู้มาเยือนได้เข้ามาพักผ่อน สักการะ และมีการเสิร์ฟอาหารมังสวิรัติให้ด้วย พระจะมาทำกิจกรรมทางศาสนาที่วัดชุคุโบะนี้ในตอนเช้าตรู ขณะทำพิธี เจ้าอาวาสและพระจะร่วมกันสวดมนต์ภายในพระอุโบสถ น่าจะรู้กันทั่วไปแล้วว่าวัดหลายๆวัดเปิดโอกาสให้มาทำสมาธิกันได้ ในอดีตนั้น ที่แห่งนี้จะจำกัดเฉพาะให้พระมาฝึกพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม วัดในศาสนาพุทธในปัจจุบันนี้ กลับเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งหลายที่มาจากต่างประเทศ ต่างชเอชาติ ต่างศาสนา และต่างความเชื่อ เหตุนี้จึงทำให้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวกัน เนื่องมาจากการเปิดกว้างของศาสนา และน้ำใจอันงดงามของพระวัดนี้

เกอิชา

เกอิชาเรียกได้ว่า เป็นผู้อารักขาของวัฒนธรรมญี่ปุ่นและเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ประจำชาติญี่ปุ่น ในวาระสำคัญนั้น พวกเธอเป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ในการเล่นเครื่องดนตรี แสดงรำแบบโบราณ และการสนทนาอย่างมีมารยาท

 

พิธีชงชา

คือพิธีและการนำเสนอด้านวัฒนธรรมของ “มัทฉะ” (ผงชาเขียว) พิธีนี้มีจุดประสงค์เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างเจ้าบ้านกับแขกผู้มาเยี่ยมให้แน่นแฟ้นกันขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของความกรุณา และความเคารพ พิธีชงชาเป็นพิธีที่มีมาช้านาน โดยมีการนำเข้ามาเมื่อศตวรรษที่ 9 แรกเริ่มเดิมทีจัดกันในพิธีกรรมทางศาสนา

ซูโม่

ซูโม่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาและถือได้ว่าเป็นกีฬาที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น มีกฎและระเบียบประเพณีที่เคร่งครัด ซี่งสามารถดำรงอยู่ได้ท่ามากลางความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ก่อนที่จะแข่ง หรือฝึกกัน จะต้องร่ายรำตามพิธีกรรมก่อน แนวคิดเบื้องหลังของกีฬานี้คือให้ริกิชิ (นักปล้ำ) ทั้งสองผลักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้ตัวออกไปจาก โดฮโย (วงแหวนกลมบนพื้น)

การแสดงประเพณีพื้นบ้าน  โนะ

โนะ หรือ โนะกาคุ คือหนึ่งในการแสดงที่เก่าแก่และเป็นที่นิยมมากที่สุดที่ยังมีลมหายใจอยู่ในปัจจุบันนี้ นิยมแสดงกันในโรงละครพื้นบ้าน โดยจะมีอยู่สองประเภท เก็นไซ โนะ (โนะ แบบสมจริง) และมุเก็น (โนะ แบบแฟนตาซี) ท่าเต้น การแสดง และดนตรีทั้งหมด มีต้นกำเนิดเมื่อศตวรรษที่ 14 ผู้บุกเบิกโนะ คุณเซอามิ เป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์การแสดงโรงละครของประเทศญี่ปุ่น โนะยังได้รับกำหนดให้เป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่ไม่มีตัวตน” โดยยูเนสโกอีกด้วย

การแสดงประเพณีพื้นบ้าน คาบุกิ

คา แปลว่าเพลง บุ แปลว่าการเต้น และกิ แปลว่าทักษะ คาบุกิ ได้รับอิทธิพลและองค์ประกอบส่วนใหญ่มาจากโนะ ผู้ชมหลักของการแสดงนี้คือกลุ่มชาวบ้านและชาวนา เป็นหนึ่งใน 3 รูปแบบการแสดงคลาสสิกที่สำคัญในญี่ปุ่น ตามต้นตำหรับแล้ว นักแสดงจะมีทั้งเพศหญิง และเพศชาย แต่ต่อมาก็ปรับให้เหลือแต่เพศชายให้เล่นทุกบทเลยในภายหลังละประเพณีนี้ยังคงสืบทอดต่อกันมายังปัจจุบัน

โอริกามิ

ศิลปะการพับกระดาษให้เป็นรูปทรงต่างๆ มีให้เห็นบ่อยครั้งไปในวัฒนธรรมญี่ปุ่น

อิเคะบานะ

ศิลปะการจัดวางดอกไม้ของญี่ปุ่น

เรียวกัง (โรงเตี๊ยมในญี่ปุ่น)

เรียวกังแบบญี่ปุ่นจะเป็นโรงเตี๊ยมที่ภายในจะประกอบไปด้วยห้องอาบน้ำส่วนตัว เสื่อทาทามิ อาหารท้องถิ่นและฟูก เป็นประสบการณ์ที่ห้ามพลาดเลยทีเดียวถ้าหากคุณอยากจะจมดิ่งไปกับความเป็นอยู่แบบพื้นบ้าน และน้ำใจของคนท้องถิ่นในญี่ปุ่น

 

วัฒนธรรมสมัยใหม่

การแต่งตัวในญี่ปุ่น

แฟชั่นในญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลมาจากทั่วโลก มันได้สร้างแรงบันดาลใจมากมายให้แก่ทุกมุมโลก ในการแต่งตัวแนวอนาคตโฉบเฉี่ยว เปรี้ยวจี๊ด และแปลกใหม่ ไล่ไปตั้งแต่กิโมโนพื้นเมืองดั้งเดิม แนวสตรีทที่ฮาราจูกุหรือจะสวยหรูก็ได้หมด

อนิเมะและมังงะ

มังงะเป็นหนังสือการ์ตูน มีภาพประกอบและตัวละครแทนเรื่องราว โดยมีหลากหลายแนวที่เหมาะสมกับหลากหลายช่วงอายุ อนิมเคือภาพหรือการ์ตูนเคลื่อนไหวที่มีเนื้อเรื่องเอามาจากมังงะอีกที แต่มีกระบวนการผลิตที่ใหญ่กว่า และรายละเอียดเยอะกว่า เรื่องที่ดังๆก็มีโปเกมอน นารูโตะ อื่นๆอีกมากมาย มังงะพวกนี้ได้สร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลกพร้อมทั้งมีคนติดตามกว่าครึ่งโลก

คอสเพลย์

คำว่าคอสเพล์ ถูกคิดค้นขึ้นโดยนักข่าวชาวญี่ปุ่น โนบุยูกิ ทาคาฮาชิ เป็นคำสองคำมาผสมกันระหว่างคำว่าเครื่องแต่งกาย (คอสตูม) และการเล่น (เพลย์) แม้ว่าคอสเพลย์จะไม่ได้มีกำเนิดมาจากญี่ปุ่น แต่ก็ส่งอิทธิพลไปสู่ผู้คนให้เริ่มหันมาแต่งตัวตามตัวละครในหนัง ทีวี หนังสือ หรือวิดิโอเกม พวกเขาวาดภาพตัวละครที่พวกเขารัก ผ่านชุดเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ประกอบหรือการแต่งหน้า

คาเฟ่แมว

สถานที่นี้สำหรับคนรักและเป็นเจ้าของแมว หรือจะเป็นใครก็ได้ที่ชอบมาเล่นกับแมว ให้แมวมาอยู่ด้วยขณะนั่งดื่มกาแฟ ความคิดแรกนี้เกิดขึ้นที่ไต้หวันเมื่อไม่นาน ก่อนที่มันจะกลายเป็นที่นิยมในโตเกียวและโอซาก้า

เมดคาเฟ่

แนวคิดของเมดคาเฟ่นี้ได้รับอิทธิพลมาจากความหลงใหลในมังงะ และอนิเมะ บริกรสาวจะแต่งตัวเป็นแม่บ้าน ให้บริการลูกค้าและเรียกพวกเขาว่า “เจ้านาย” ถ้าคุณอยากสัมผัสประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครล่ะก็ ลองไปเยือนดูสักครั้งแถวอากิบาฮาระ ที่นั่นมีคาเฟ่ให้คุณลองอยู่เต็มไปหมด

ร้านอาหารหุ่นยนต์

ด้วยหุ่นยนต์ ดนตรี กลอง ไฟและการเต้นรำ ร้านอาหารหุ่นยนต์ในชินจูกุถือเป็นความรู้สึกที่ไม่ควรพลาดในโตเกียว ที่อยู่ 1-7-1 คาบุกิโจ ชินจูกุ ชินจูกุ-กุ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

รอบแรก การแสดงเปิด 15:10 – การแสดงหลัก 16.00 –

รอบสอง การแสดงเปิด 17.00 – การแสดงหลัก 17.55 –

รอบสาม การแสดงเปิด 19.00 – การแสดงหลัก 19.50 –

รอบสี่ การแสดงเปิด 21.00 – การแสดงหลัก 21.45

ค่าผ่านประตู: 8,000 เยน/คน (ควรจองก่อนล่วงหน้า)

25 เรื่องจริงที่น่าตื่นตาตื่นใจเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่คุณอาจจะไม่รู้มาก่อน

ครั้งหนึ่งเคยถูกเชื่อกันว่าเป็นประเทศแรกที่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า ญี่ปุ่นคือดินแดนแห่งความพิศวงและความประหลาดใจ ไม่ว่าจะเป็นหายนะทางธรรมชาติหรือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ญี่ปุ่นผ่านมันมาหมดแล้วและยังเจริญเติบโตขึ้นอีกด้วย! สิ่งทั้งหมดนี้อาจประสบความสำเร็จได้ด้วยมูลค่าที่สูงและวัฒนธรรมที่หลากหลาย นี้คือเรื่องจริง 25 ข้อ ที่น่าใจเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน
ญี่ปุ่นมีห้องพักโรมแรมที่ยาว 2 ตารางเมตร และ สูง 1.20 เมตร โรงแรมนี้มีชื่อว่า แคปซูล โฮเต็ล (Capsule hotel)
75 เปอเซ็นต์ของภูมิประเทศญี่ปุ่นเป็นภูเขา ซึ่งบีบให้ 93.5 เปอเซ็นต์ของประชากรต้องอยู่อาศัยบน แผ่นดินที่เหลืออีก 25 เปอเซ็นต์
ในฤดูไม้ผลิ ประชากรชาวญี่ปุ่นจะจัดงานเทศกาล The Shinto Kanamara Matsuri (เทศกาลแห่ลึงค์) เฉลิมฉลองสรรเสริญทั้งอวัยะเพศชายและหญิง
บริษัท Kongo Gumi จำกัด เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างอิสระของญี่ปุ่นที่เก่าแก่ที่สุด ดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่า 1,400 ปี บริษัทมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่โอซาก้าและกลายเป็นบริษัทลูกของ Takamatsu ในปี 2006
ญี่ปุ่นมีตู้ขายของอัตโนมัติมากกว่า 5.5 ล้านตู้ คุณสามารถเจอตู้สักตู้ได้แทบจะทุกหัวมุมถนน มันมีขายทั้ง เบียร์ บุหรี ถุงยาง หนังสือการ์ตูน กระดาษชำระ ร่ม หนังสือโป๊ แม้กระทั่งกางเกงชั้นในผู้หญิง มันช่างเป็นโลกที่แปลกนะ ว่าไหม?
หนังสือ The Tale of Genji ถูกเขียนโดยคุณหญิงชาวญี่ปุ่นชื่อ มูราซากิ ชิกิบุ ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 11 เรียกได้ว่าเป็นหนังสือนวนิยายฉบับเต็มเล่มแรกของโลก
ในญี่ปุ่นมีผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่ถูกขายมากกว่าผ้าอ้อมสำหรับเด็ก ไม่แปลกใจเลยว่าญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดที่ต่ำ
ชาวญี่ปุ่นรับประทานปลามากกว่าประเทศใดๆในโลก ญี่ปุ่นยังเป็นผู้นำเข้าสาหร่ายทะเลที่ใหญ่ที่สุดและบริโภคปลาราวๆ 17 ล้านตันต่อปี
มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลยว่าญี่ปุ่นคือผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ในญี่ปุ่น ผู้หญิงจำนวนมากนิยมไปหาหมอฟันเพื่อรับการเพิ่มฟันเขี้ยวอย่างมีวัตถุประสงค์ คุณรู้ไหมเพราะอะไร? เพราะว่า ยีบะ (Yaeba) หรือฟันเขี้ยว ถือว่าเป็นสิ่งที่มีสเน่ห์ในญี่ปุ่น
ประชากรในญี่ปุ่นมีสัตว์เลี้ยงมากกว่ามีลูกเสียอีก
แมวสีดำถือว่าเป็นเครื่องรางนำโชคในญี่ปุ่น
โอคุโนะชิมะ เป็นเกาะในญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยกระต่าย คุณอาจจะคิดได้ว่ามันเป็นไปได้ยังไง คือกระต่ายถูกนำมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อใช้เป็นตัวทดสอบผลข้างเคียงของแก๊สพิษ น่าสงสารจัง
มังงะหรือหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นมากกว่าสองล้านเรื่องถูกจำหน่ายไปในแต่ละปี
ไฮกุ (Haiku) บทกวีแบบหนึ่งของญี่ปุ่นคือแบบกวีที่สั้นที่สุดในโลก โดยมีแค่สามบรรทัด
คุณรู้ไหมว่าสื่อบันเทิงอนิเมชั่นอะไรที่ได้รับความบันเทิงมากที่สุดในโลก มันคือ อะนิเมะ หรือหนังอนิเมชั่นญี่ปุ่น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 60 เปอร์เซ็นต์
วัยรุ่นญี่ปุ่นส่วนใหญ่นิยมใช้โทรศัพท์แม้แต่ตอนอาบน้ำ เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไมโทรศัพท์กว่า 90 เปอเซ็นต์ที่ถูกขายในญี่ปุ่นถึงกันน้ำ
มาซาบุมิ โฮโซโนะ (Masabumi Hosono) เป็นชาวญี่ปุ่นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากการล่มของเรือไททานิคในปี 1914 ถูกตราหน้าว่าเป็นไอ้ขี้ขลาดของประเทศเนื่องจากไม่ได้เสียชีวิตไปกับผู้โดยสารคนอื่นๆ
ในญี่ปุ่น มันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้หากจะพักงีบเล็กหรือที่เรียกว่า อิเนมุริ (inemuri) แม้กระทั่งงีบในชั่วโมงทำงาน
ลองเดาดูว่าชาวญี่ปุ่นทักทายกันและกันยังไง? พวกเขาโค้งคำนับกันแทนการจับมือ และการโค้งคำนับที่ต่ำที่สุดคือการแสดงให้เห็นถึงความเคารพอย่างถึงที่สุด
สนธิสัญญาสันติภาพเพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่สองยังคงมีกำหนดลงนามระหว่างญี่ปุ่นและรัสเซีย มันยังคงรอการดำเนินการอยู่เนื่องจากมีข้อพิพาทเกี่ยวกับหมู่เกาะ Kuril ซึ่งเป็นกลุ่มเกาะเล็กนอกชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเอเชีย
ในญี่ปุ่น การปล้ำแบบซูโม่รู้จักกันในชื่อ ริกิชิ (Rikishi) และประวัติศาสตร์ความเป็นมาของซูโม่ต้องย้อนกลับไปถึง 1500 ปี นักซูโม่ที่อายุอ่อนกว่าจะต้องทำความสะอาดห้องน้ำให้กับนักซูโม่ที่มีประสบการณ์มากกว่า นอกจากนี้ยังรวมถึงสถานที่ที่ยากต่อการเข้าถึงอีกด้วย แหวะ!
เคยได้ยินคำว่าคาราโอเกะไหม? มันคือคำภาษาญี่ปุ่นแปลว่าออเครสตร้าที่ว่างเปล่า มันคือการที่คนร้องเพลงที่เป็นที่นิยมโดยมีท่วงทำนองอย่างเดียว
ในญี่ปุ่น ตึกสูงๆจะไม่มีชั้นที่สี่ ลองคิดสิว่าทำไม? เพราะว่าพวกเขาเลี่ยงหมายเลขสี่ (shi) ซึ่งออกเสียงเหมือนกับคำว่าความตาย (shi)
ในญี่ปุ่น เมื่อมีคนต้องการจะแสดงออกถึงความรู้สึกรักโดยไม่ใช้คำพูด พวกเขาจะให้ของขวัญด้วยอะไรสักอย่างซึ่งถูกห่อด้วยกระดาษสีเขียวเหมือนกับผักขม เรื่องนี้เป็นเพราะว่าคำภาษาญี่ปุ่น ฮฮเร็นโซ (“ผักขม”) มันคล้ายกับคำว่า ฮอเรรุ (“ตกหลุมรัก” หรือ “แอบรัก”)
ประชากรชาวญี่ปุ่นน้อยกว่า 200 คน ถือว่าเป็นผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมของประเทศญี่ปุ่น นอกเหนือจากนี้ไม่มีพ่อแม่ที่เป็นคนพื้นเมืองหรือ Ainu

ทำไมย่านที่อยู่อาศัยของคนญี่ปุ่นถึงไม่มีใครเหมือน

เมืองและย่านที่อยู่อาศัยในญี่ปุ่นนั้นมีแนวโน้มที่จะมีจิตสำนึกร่วมทางสังคมที่เข้มแข็ง จิตวิญญาณ และตำนานท้องถิ่นที่ทำให้เมืองนั้นๆมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ญี่ปุ่นถูกแบ่งแยกทางการเมืองไปเป็นจังหวัด จังหวัดในเมือง เขตแดน มหานคร กิ่งจังหวัด เขต เมืองที่ได้รับการแต่งตั้ง เมืองพิเศษ เมือง เขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งพิเศษ  กิ่งอำเภอ และ หมู่บ้าน เหตุผลส่วนหนึ่งของการแบ่งแยกที่ซับซ้อนเหล่านี้คือการที่ประชาชนมีความเป็นเอกลักษณ์สูงตามแต่ละจังหวัด อำเภอ เขตการเลือกตั้ง และย่านที่อยู่อาศัย สิ่งเหล่านี้มันยากที่จะเปลี่ยนแปลง เหตุผลข้างต้นคือมุมมองของวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ทำให้อำเภอและพื้นที่ใกล้เคียงมีลักษณะเฉพาะตัว

วัดและศาลเจ้า

มันเป็นเรื่องปกติที่ในทุกๆย่านที่อยู่อาศัยของญี่ปุ่นที่จะมีทั้งวัดพุทธและศาลเจ้าชินโต พูดกันโดยทั่วไปเลยคือ ประชาชนยึดถือพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิต เช่น แต่งงานที่ศาลเจ้าชินโต และ พิธีศพที่วัดพุทธ

พระเจ้าพื้นเมือง

ศาลเจ้าชินโตอุทิศให้กับวิญญาณที่เรียกว่า กามิ (Kami) กามิมักมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามแต่ละศาลเจ้าท้องถิ่น ดังเช่น คุณอาจบูชาวิญญาณที่แตกต่างกันจากย่านที่อยู่อาศัยเพียงย่านเดียวได้

เทศกาล

มันเป็นเรื่องปกติของทั้งศาลเจ้าและวัดที่จะเป็นผู้สนับสนุนงานเทศกาลหรือเรียกว่า มัตสึริ (matsuri) โดยตลอดปี อย่างเช่น ย่านที่อยู่อาศัยเกือบจะแทบทั้งหมดในญี่ปุ่นมีงานเทศกาลอยู่เป็นประจำ จำนวนตัวเลขของงานเทศกาลที่ถูกจัดในแต่ละปีที่ญี่ปุ่นมีมากถึงกว่า 100,000 งาน

โอมิยาเกะ

ญี่ปุ่นมีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศที่เจริญเติบโต มันเป็นธรรมเนียมสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเลือกซื้อของที่ระลึกพื้นเมืองที่รู้จักในชื่อ โอมิยาเกะ (Omiyage) ให้แก่บรรดาเพื่อนและผู้ร่วมงานหลังจากจบทริป สิ่งนี้ได้นำไปสู่วัฒนธรรมโดยทุกๆเมืองจะมีเมนูอาหารที่เป็นเอกลักษณ์เป็นของที่ระลึก

ฟาร์มในเมือง

แม้ว่าจะมีความขาดแคลนพื้นดิน ฟาร์มในเมืองคือสิ่งปกติในญี่ปุ่นรวมถึงฟาร์มในย่านที่อยู่อาศัยในโตเกียวด้วย ในหลายๆกรณี ย่านที่อยู่อาศัยในเมืองถือว่าตัวเองมีชื่อเสียงในเรื่องการเพาะปลูกโดยเฉพาะ

อาหารภูมิภาค

การเกษตรญี่ปุ่นมีผลิตภัณฑ์ภูมิภาคเป็นพันๆอย่าง ในเขตหนึ่งเขตอาจจะมีชื่อเสียงจากสตรอเบอรรี่ และอีกเขตหนึ่งมีชื่อเสียงจากเนื้อวัว

ซากุระ

มันเป็นเรื่องปกติทั่วไปของย่านที่อยู่ศัยต่างๆที่อย่างน้อยจะมีจุดที่มีต้นซากุระสักสองสามจุด มันเป็นธรรมเนียมที่จะจัดเทศกาลชมดอกไม้ในช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิ สิ่งนี้มันทำให้ย่านที่อยู่อาศัยในเมือง ชานเมือง และชนบท มีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจเมื่อดอกซากุระบาน มีส่วนทำให้เกิดสำนึกร่วมของชุมชนและสถานที่

จุดดอกเชอร์รี่ยอดนิยมของญี่ปุ่น(อังกฤษ)

ศาลากลางจังหวัด

อำเภอในญี่ปุ่น กิ่งอำเภอ และเขตการเลือกตั้ง จะมีศาลากลางจังหวัดและสำนักงานเขตการเลือกตั้งที่ใหญ่และวุ่นวายอย่างน่าประหลาดใจ การตัดสินใจและงานด้านธุรการมีแนวโน้มที่จะเป็นของส่วนท้องถิ่น ยกตัวอย่าง เขตการเลือกตั้งพิเศษทั้งหมด 23 เขต ของโตเกียว ดูแลจัดการการเก็บขยะของแต่ละเขตเอง

ดีไซน์ของเมือง

อำเภอของญี่ปุ่นส่วนใหญ่พัฒนาโดยตั้งแต่แรกเริ่มแทนที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ของการออกแบบและการวางแผน เช่นตัวอย่าง บ้านเมืองมักมีสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ อนุสาวรีย์และจุดสำคัญต่างๆ เช่น ถนนแคบๆที่ไม่ปลอดภัย จุดสำคัญที่เล็กๆเช่น ท่อระบายน้ำที่อาจจะถูกตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ท้องถิ่นหรือศิลปะ

20 สิ่งของนำโชคในญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นนี่ช่างเป็นประเทศที่โชคดีเสียจริง ประเทศนี้มีประวัติอันยาวนานของสงครามที่รุนแรง แผ่นดินไหว ไฟไหม้ สึนามิถล่ม ไต้ฝุ่น ความล้มเหลวด้านพืชพันธุ์และการปะทุของภูเขาไฟ ปัญหาเหล่านั้นกลับเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปเลย เมื่อญี่ปุ่นมีสิ่งอีกหลายสิ่งที่เกิดขึ้นมาในวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่จะช่วยอวยพรให้เกิดความโชคดีหลังผ่านเหตุการณ์นั้นๆมาแล้ว ต่อไปนี้จะเป็นตัวอย่างของสิ่งที่ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีในญี่ปุ่น

 

ตุ๊กตาดารุมะ

ดารุมะเป็นตุ๊กตาแบบ เปเปอร์ มาเช่ ที่หน้าตาเหมือนพระ 6 รูปที่รู้จักกันในนามของพระโพธิธรรม ตามประเพณีแล้วเขาจะไม่วาดลูกตาลงไปในตัวตุ๊กตา เมื่อคุณมาบนขออะไรสักอย่างแล้ว ให้คุณใช้มาร์กเกอร์เขียนเติมดวงตาลงไปหนึ่งดวง เมื่อสิ่งที่คุณขอหรือบนไว้ประสบผลสำเร็จ ก็ให้คุณเติมดวงตาลงไปอีกดวงเป็นอันครบทั้งสองดวง

เทรุ เทรุ โบสุ

เทรุ เทรุ โบสุ เป็นตุ๊กตารูปร่างคล้ายผีแบบง่ายๆ ทำขึ้นมาจากผ้าสีขาวหรือกระดาษ มีความเชื่อกันว่า ถ้านำมันมาแขวนไว้ในตอนกลางคืน ทำให้วันรุ่งขึ้นอากาศจะแจ่มใส ถ้าแขวนกลับหัว ฝนจะตกหนัก เทรุ เทรุ โบสุ หรือตุ๊กตาไล่ฝนเป็นที่นิยมในหมู่เด็กๆก่อนเข้าโรงเรียน ในบางกรณี เด็กๆมักตุ๊กตานี้กลับหัวเพื่อหวังว่าพวกเขาจะได้ไม่ต้องไปเที่ยว

โอมิคุจิ

โอมิคุจิ เป็นกระดาษเสี่ยงดวงที่มีขายกันในวัด หรือตามศาลเจ้าบูชาในญี่ปุ่น ประมาณเกือบครึ่งของโอมิคุจิจะทำนายโชคร้ายให้กับคุณ เมื่อเป็นแบบนี้ ตามประเพณีแล้ว เราต้องบริจาคเงินให้โดยนำไปผูกตรงจุดที่กำหนด ใบที่ทำนายโชคดีให้ควรเก็บไว้สักเดือนหนึ่งจนกว่าคุณจะรู้สึกว่า แต้มบุญคุณเริ่มหมดแล้ว

อีมะ

อีมะ เป็นแผ่นไม้ขอพร มีให้ซื้อได้ตามศาลเจ้าชินโต แผ่นไม้นี้มีความเกี่ยวเนื่องกันกับตำนาน ปรเพณีเก่าแก่ว่า เป็นการบริจาคม้าให้กับศาล คุณไปซื้ออีมะมา เขียนคำอธิษฐานของคุณลงไปและแขวนไว้ที่ศาลเจ้า มันน่าสนใจดีนะที่ให้เห็นคำอธิษฐานของคนอื่น แขวนไว้เต็มศาลเจ้า

มาเนกิ เนโกะ

มาเนกิ เนโกะ เป็นเครื่องรางแมวนำโชค ตามตำนานเก่าแก่ มันจะทำท่าโบกมือ แต่ในญี่ปุ่นสมัยก่อน ท่าที่มันทำนั้นเป็นท่าทางการทักทายกัน

อิโฮะมากิ

อิโฮะมากิ เป็นประเพณี เซ็ทสึบัน ที่แปลว่า “ซูชิโรลแห่งความโชคดี” ตามประเพณีต้องกินซูชิโรลม้วนหนานี้ให้หมด โดยห้ามส่งเสียง พร้อมกับหันหน้าไปทาง ทิศที่โชคดี ซึ่งเปลี่ยนไปตลอดทุกปี

แมงมุมในตอนเช้า

ตามความเชื่อโชคลางของญี่ปุ่น ถ้าคุณเห็นแมงมุมในตอนเช้า ถือว่าเป็นโชคดีแก่ตัวคุณและคุณไม่ควรฆ่ามัน มันค่อนข้างที่จะยากกสักหน่อย เป็นเพราะแมงมุมในญี่ปุ่นจะตัวค่อนข้างใหญ่ มีพิษและรวดเร็ว แมงมุมปรากฏให้เห็นอยู่ในตำนานหลายเรื่องของญี่ปุ่น และมีแนวโน้มที่จะได้รับความเคารพอย่างมาก

โคอิโนะโบริ

โคอิโนะโบริ เป็นธงรูปร่างปลาคาร์พที่ผูกกันในเดือนเมษายน สำหรับงานวันเด็กที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ประเพณีนี้เกี่ยวเนื่องกับตำนานของจีนเกี่ยวกับปลาคาร์พที่ว่ายทวนกระแสน้ำเพื่อกลายร่างเป็นมังกร ธงปลาคาร์พนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรง สุขภาพดีให้กับเหล่าเด็กๆ

โทริ โนะ อิจิ

โทริ โนะ อิจิ เป็นตลาดขายของนำโชคที่จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ตามประเพณี การซื้อของนำโชคๆในตลาดนี้เชื่อกันว่า จะช่วยให้ธุรกิจการงานมั่นคง ยืนยาว เป็นเรื่องปกติถ้าเห็นการต่อรองราคากัน เมื่อตกลงราคาซื้อขายกันได้แล้ว ทั้งลูกค้า และพ่อค้า/แม่ค้า จะปรบมือกันเล็กน้อยพอเป็นพิธี

อะกาเบโกะ

อะกาเบโกะเป็นงานแกะสลักเก่าแก่ของชาวบ้านในอำเภอฟุกุชิมะ พวกมันถือเป็นของเล่นสำหรับเด็กและเชื่อกันว่าจะช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บให้แก่เด็กที่เล่นด้วย อะกาเบโกะมีพื้นเพมาจากเรื่องวัวตัวหนึ่งในช่วงศตวรรษที่เก้า ที่มาช่วยมนุษย์สร้างวัดเอ็นโซจิ ตามท้องเรื่อง เมื่อสร้างเสร็จแล้ว วัวตัวนั้นก็กลายเป็นพระพุทธรูป ตั้งอยู่ภายในตัววัดและกลายเป็นหินไป

เซนบาซุรุ

เซนบาซุรุเป็นนกกระเรียนพับกระดาษที่นำมาร้อยต่อกันจำนวน 1,000 ตัว ว่ากันว่าใครที่พับและร้อยต่อกันจนเสร็จภายในหนึ่งปีจะได้รับพรจากนกกระเรียน ตามความเชื่อญี่ปุ่นเชื่อกันว่า นกกระเรียนเป็นสัตว์มงคล อายุยืนถึง 1,000 ปีเลยทีเดียว

คุโระทามาโกะ

คุโระทามาโกะ ที่แปลว่า “ไข่ดำ” คือไข่ที่ปรุงกันในแถบหุบเขา โอวาคุดานิ ใน ฮาโคเนะ ตามความเชื่อพื้นบ้าน กล่าวกันว่า กินไข่คุโรทามาโกะหนึ่งฟอง ยืดอายุขัยไปอีกเจ็ดปี กินสองฟอง ยืดไปสิบสี่ปี แต่ถ้ากินสามฟอง จะพาแต่โชคร้ายมาให้แทน

ฮัตสึยุเมะ

ในขึ้นปีใหม่ของญี่ปุ่นจะประกอบไปด้วยอาหารนำโชคต่างๆเป็นโหล การตกแต่งบ้านเรือนและพิธีกรรมต่างๆ ตัวอย่างเช่น เขาเชื่อกันว่า ความฝันแรกในช่วงขึ้นปีใหม่ของคุณ รู้จักกันในชื่อ ฮัตสึยุเมะ นั้นมีความสำคัญมาก

โอมาโมริ

โอมาโมริ แปลว่า “การป้องกัน” คือถุงที่มีตราผนึกเป็นคำพรต่างๆอยู่ข้างใน มีขายกันตามศาลเจ้าและวัดทั่วไปในญี่ปุ่น โอมาโมริแบบต่างๆ จะมีคำพรให้สมหวังในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่เรื่องชีวิคู่และเรื่องเรียน ถ้าไปเปิดถุง ว่ากันว่าจะนำพาโชคร้ายมาให้ผู้ที่เปิดแทน

ตุ๊กตาฮินะ มัตสึริ

ฮินะ มัตสึริ หรือวันสตรีแห่งชาติ เป็นวันเฉลิมฉลองเพื่อขอให้สุขภาพและความสุขมีแก่สุภาพสตรีทุกคนในญี่ปุ่น ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนถึงวันสตรี ครอบครัวพร้อมด้วยลูกสาวจะนำตุ๊กตานำโชคออกมาตกแต่ง ในญี่ปุ่นสมัยเก่า เชื่อกันว่า การนำตุ๊กตาออกมาแบบนี้ จะทำให้โชคร้าย โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ถูกย้ายออกจากตัวเด็ก เข้าไปอยู่ในตุ๊กตาแทน

คิทแคท

คิทแคทเป็นแบรนด์ช็อคโกแลตแท่งที่โด่งดังมากในญี่ปุ่น มีผลิตออกมาแล้วกว่า 400 รสชาติ คำว่า คิทแคท กลายเป็นคำย่อที่ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น โดยย่อมาจากประโยค “คิตโตะ คัตสึ” แปลว่า “ชนะแน่นอน” บรรจุภัณฑ์สีแดงของ คิทแคท ช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ของความโชคดี โดยที่สีแดงเป็นสีแห่งความโชคดีในญี่ปุ่น

ชิสะ

ชิสะเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ตามเทพนิยายของโอกินาวะ มีรูปร่างครึ่งสิงโตครึ่งสุนัข พบเจอได้ง่ายในแถบเกาะโอกินาวะและเชื่อกันว่ามีพลังป้องกันภัยต่างๆ ชิสะยังเป็นสัญลักษณ์ของเกาะที่มีแต่ความสนุกสนาน แม้กระทั่งออกแบบมาในรูปแบบตัวการ์ตูนก็ยังมีให้เห็น

เทพแห่งโชคลาภทั้ง 7

เทพแห่งโชคลาภทั้ง 7 เป็นกลุ่มเทพพิทักษ์ของญี่ปุ่น 7 องค์ที่ว่ากันว่าจะเดินทางมาที่ญี่ปุ่นโดยเรือที่มีแต่สมบัติมากมายในช่วงขึ้นปีใหม่ เทพแต่ละองค์เป็นที่นิยมกันในหมู่คนญี่ปุ่นซึ่งเชื่อกันว่ามีพลังสามารถประทานพรให้ประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆได้ เช่นความร่ำรวย ความรัก ความสุขและการตกปลา

โอคิอางาริ โคโบชิ

โอคิอางาริ โคโบชิ เป็นตุ๊กตาเปเปอร์ มาเช่ ที่สามารถลุกขึ้นมาเองได้ เมื่อคุณกดมันลงไป ถือกำเนิดในช่วงศตวรรษที่ 14 และเป็นความเชื่อต่อๆกันมาว่า มันคือสัญลักษณ์แห่งการต่อต้าน เป็นเรื่องปกติที่ลูกค้ามักจะจับมันมาประลองกัน ว่าตัวไหนกดแล้วลุกกลับขึ้นมาได้เร็วกว่ากัน ตัวที่ลุกกลับมาได้เร็วกว่า จะถือว่ายิ่งมีโชคมาก

ฟุคุซาสะ

ฟุคุซาสะ เป็นกิ่งก้านสาขาของไผ่ที่ถูกตกแต่งไปด้วยเครื่องรางนำโชคและขายกันในเดือนมกราคม ศาลเจ้าอิมามิยะ เอบิสุ ในโอซาก้า ถือได้ว่าเป็นศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุดราวกับตลาดค้าของ สามารถดึงดูดผู้คนไปเข้าไปเยี่ยมชมได้ถึง 1 ล้านคนเลยทีเดียว ศาลนี้จะมีการเชิญมิโกะมาตกแต่งกิ่งก้านของไผ่ด้วย