7 สิ่งในญี่ปุ่นที่สามารถสอนคุณเรื่องของการมีสุขภาพที่ดี และอายุยืนได้

คุณกำลังมองหาหนทางในการมีอายุที่ยืนยาว และสุขภาพดีด้วยอยู่ใช่ไหม? ง่ายมาก แค่มองหามันในแถบตะวันออก

ญี่ปุ่น ดินแดนที่เต็มไปด้วยขุมทรัพย์มากมาย เช่นงานภาพของจิตรกรมือเยี่ยม โฮกุไซ สัตว์ประหลาดผีเสื้อผู้พิทักษ์อย่างมอธร่า แลขนมขบเคี้ยวรูปแท่งสุดอร่อยอย่าง ป็อกกี้ เป็นที่กล่าวขานจากหลายต่อหลายคนว่า ญี่ปุ่นนี่ สามาถให้ลายแทงสู่การมีสุขภาพที่ดีได้ ไม่เพียงแต่กิจวัตรประจำของชายหญิงชาวญี่ปุ่น ที่ติดอันดับกิจวัตรที่ดีต่อสุขภาพในช่วงชีวิตหนึ่ง แต่ยังมีการศึกษาจากองค์การอนามัยโลกมาสนับสนุนอีกด้วยว่า ล่าสุดผู้หญิงชาวญี่ปุ่นจะมีอายุขัยเฉลี่ย 87.0 ปีอีกด้วย

และมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับยีนในร่างกายด้วย เราได้ร่วมทีมกับเอดนาร์ เพื่อตรวจสอบ ไขความลับของวิถีชีวิตชาวญี่ปุ่น ตั้งแต่เรื่องสาหร่ายในทะเลไปจนถึงการปีนเขาไปสู่วิถีเซน

พวกเขาให้ค่าว่า อาหารทะเลนั้นถือเป็นการไดเอ็ท

ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบปลาดิบกันมาก ตามรายงานของ สถาบันประมงทะเลแห่งชาติเมื่อปีที่แล้ว  ว่า การบริโภคอาหารทะเลในชาวญี่ปุ่นมากถึง 55.7 กิโลกรัมต่อหัว (สหรัฐบริโภคกันแค่ 24.2 กิโลกรัมเท่านั้น) ตัวเลขดังกล่าว ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีการบริโภคอาหารทะเลสูงที่สุด ติด 6 อันดับแรกในบรรดาประเทศใหญ่ๆทั้งหมด สิ่งสำคัญคือ อาหารประเภทปลาของพวกเขาที่กลุ่มการค้าและข้าราชการให้ความสำคัญกันนั้น จะเป็นสิ่งทีช่วยต่อต้านการบริโภคที่ลดลงในหมู่เยาวชนญี่ปุ่น

ประโยน์ที่ดีที่สุดที่จะได้รับในการทานปลาก็คือ: คนที่ทานปลา จะอยู่ได้นานกว่าคนที่ไม่ทาน การบริโภคปลาเป็นอาหารลดอัตราเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจลงได้ 36% ที่น่าตกใจยิ่งกว่า คือผู้สูงอายุที่มีระดับกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณที่มากขึ้นเนื่องจากการบริโภคปลาที่มีไขมันสูง จะมีอายุยืนเฉลี่ย 2.2 ปี มากกว่าคนที่มีระดับกรดไขมันนี้ต่ำ นอกจากนี้อาหารที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลาไขมันจะช่วยยกระดับอารมณ์และป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งบางชนิดและการอักเสบอีกด้วย

นักวิทยาศาสตร์แนะนำให้ทานปลาที่มีไขมันเยอะๆ เช่นทูน่าหรือแซลมอน ทุกอาทิตย์ ถ้าให้ผลดีที่สุด ควรนำไปย่างหรืออบเอาจะอร่อยขึ้น


แต่พวกเขาก็ยังโปรดปรานกับอาหารทะเลชนิดอื่นๆอยู่นะ

ตามรายงานของสหประชาชาติ กล่าวว่า ประเทศญี่ปุ่น มีการบริโภคสาหร่ายประมาณ 100,000 ตันต่อปี และยังไม่เรื่องมากในเรื่องการแยกชนิดของสาหร่ายอีกด้วย ทานหมด ในญี่ปุ่นมีการใช้สาหร่ายมากถึง 20 สายพันธุ์มาปรุงเป็นอาหาร อันที่จริง ประชาชนที่อาศัยอยู่แถบเกาะโอกินาวะ ทางตอนใต้สุดของญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ของผู้ที่ทานอาหารทะเฃมานับร้อยนับพันจานว่า พวกเขาทานสาหร่ายทะเลเป็นอาหารกันบ่อยครั้งที่สุด มากกว่าที่ใดในโลกเสียด้วยซ้ำ

โอเค, แต่การทานสาหร่ายกันเนี่ย มันดีต่อตัวคุณจริงหรอ??? ทุกอย่างมันชี้ไปที่คำตอบว่า “ใช่ มันดีจริงๆ” กันหมด น่าแปลกใจจริงๆ สาหร่ายแบบแพคจะประกอบไปด้วยโปรตีน 2 และ 9 กรัมต่อหนึ่งถ้วยตวง และบางชนิดมีโพแทสเซียมมากกว่าในกล้วยอีกด้วย แถมมันยังมีไอโอดีน ที่เป็นประโยชน์ต่อต่อมไทรอยด์ อีกทั้ง นักวิจัยของฮาวาร์ดได้ตั้งทฤษฎีว่า การที่สาหร่ายมีคุณสมบัติในการควบคุมระดับเอสโตรเจน และเอสไตรออลได้เนี่ย อาจทำให้ประชากรในประเทศที่เป็นหมู่เกาะ มีอัตราการป่วยด้วยโรงมะเร็งเต้านมน้อยกว่าประเทศแถบอื่น (พวกมันยังช่วยบรรเทาอาการของ PMS ได้อีกด้วย)

ถ้าคุณไม่ชอบรสชาติของมัน ทางเลือกที่หลากหลายเปิดให้คุณเลือกแล้ว (ดู: สาหร่ายพาสต้า) กล่าวได้ว่า สาหร่ายทะเลมีสารอาหารที่หนาแน่น จึงอาจมีผลข้างเคียงได้ จึงต้องมีการกำหนดการรับประทานให้เหมาะสม โดยควรบริโภคแค่ 2 ช้อนโต๊ะต่อสัปดาห์ แต่อย่ากังวลมากไป ซูชิโรลยังเป็นของดีที่คุณยังอร่อยกับมันได้อยู่

พวกเขาร้องเพลงในช่วงงานอดิเรกแห่งชาติ

นักท่องเที่ยวอาจตกใจจำนวนร้านคาราโอเกะที่มีอยู่มากมาย ทุกหนแห่งในญี่ปุ่น ในปี 2010 อุตสาหากรรมคาราโอเกะในญี่ปุ่นครองแชมป์ทำเงินไปกว่าหมื่นพันล้านเหรียญ (ปีเดียวกันกับที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ทำเงินไปถึง 2.66 พันล้านเหรียญ) บิ๊ก เอ็คโค่ คาราโอเกะที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ทำการเปิดสาขาไปทั่วประเทศแล้วกว่า 229 สาขา

เอาล่ะ ข่าวดีสำหรับนักร้องไมค์ทองทั้งหลาย: คาราโอเกะดีสำหรับคุณ ในงานศึกษาของปี 2009 ซึ่งมีผู้เข้ารับการรักษาเกือบ 20,000 คน นักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยแพทย์ เอฮิเมะ และมหาวิทยาลัยโอซาก้าพบว่าการดื่มสุราแต่พอดีกับเพื่อนๆช่วยให้สุขภาพหัวใจและหลอดเลือดดีขึ้น

หนึ่งคำ: การหมัก

เราไม่ได้มาพูดถึงสาเกกันนะ (แม้ว่ามันจะมีหลักฐานสนับสนุนว่า มันอาจมีประโยชน์เมื่อถูกดูดซึมในปริมาณที่เหมาะสมก็ตาม) ไม่, อาหารญี่ปุ่นขึ้นชื่อในเรื่องของการหมัก ไล่ตั้งแต่ ซึเคะโมโนะ ที่มีสีสันสวยงาม หรือเครื่องเคียงที่เป็นผักดอง ที่ถูกย้อมไปด้วยซอสถั่วเหลืองในทุกมื้อ  และเป็นที่แพร่หลาย ซึ่งโดยเฉลี่ย ชาวญี่ปุ่นบริโภคซอสถั่วเหลืองกันประมาณ 1.8 แกลลอนต่อปีเลยทีเดียว พวกเครื่องเคียงอย่างซอสถั่วเหลือง และซุปมิโสะ ก็ได้ผ่านกรรมวิธีการหมักแล้วทั้งสิ้น

คุรไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเพียงไม่กี่ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อเพิ่มประโยชน์และคุณค่าทางอาหารหรอก แค่คุณใส่ซอสมิโสะลงไปในอาหารของคุณ และเอร็ดอร่อยกับมื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพและรสชาติดีได้เลย

ญี่ปุ่นนิยมเขียวขจี

คุณอาจคิดว่าหมู่เกาะทั้งหมดนั้น ถูกเมืองน้อยใหญ่ทั้งหลายครอบคลุมไปหมดแล้ว แต่รู้ไว้เถอะ มันยังมีพื้นที่สีเขียวอยู่ บางส่วนของประเทศนั้นเป็นป่าดิบชื้น ทำให้เกิดความสวยงาม ไม่แปลกใจเลยที่ความเคารพต่อธรรมชาติได้ฝังรากลึกเข้าไปในวัฒนธรรมญี่ปุ่น

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ยึดมั่นในความรักในรูปแบบธรรมชาติโดยกำหนดขึ้นเป็นนโยบายใหม่ เมื่อได้รับอนุมัติให้เป็นวันหยุดราชการในวันที่ 16 วันภูเขาแห่งชาติ ซึ่งเป็นวันที่เฉลิมฉลองตามชื่อนั่นแหละ และนักภูมิปัญญาชาวญี่ปุ่นได้ทำสถิติใหม่ในการปีนเขา (ใช่แล้ว คนแก่อายุ 80 ปีนเขาเอเวอเรสต์ เอาซะรู้สึกผิดเลยที่นั่งแช่อยู่กับโซฟาทั้งวัน) นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังเป็นผู้บุกเบิกการรักษาป่าไม้ ซึ่งประกอบไปด้วยพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ที่เข้ากันดีกับพื้นที่สีเขียว

การใช้เวลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติให้ประโยชน์แก่สุขภาพเป็นอย่างมาก อวัยวะเกือบทุกส่วนในร่างกายของคุณเป็นแหล่งเพิ่มพลังงานให้กับวิตามินดี และป้องกันไม่ให้ได้รับสารอาหารแปลกๆที่นำไปสู่โรคมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง และโรคข้ออักเสบ ยังไม่พอ งานวิจัยเผยว่าการใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ ช่วยพัฒนา เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ได้ถึง 20% และ 50% ขอคารวะเลย

ดังนั้น แม่คุณสั่งให้ทำอะไรก็ทำเสีย และออกไปสูดอากาศข้างนอกซะ

พวกเขามห้องอาบน้ำที่ดีที่สุด

การอาบน้ำถือเป็นเรื่องจริงจังมากในญี่ปุ่น สำหรับใครที่เคยไป เซนโตะ หรือ ออนเซ็น มาแล้วก็น่าจะเล่าให้คุณฟังได้ ว่าการอาบน้ำ การแช่น้ำนั้น เป็นการผ่อนคลายร่างกายที่ดีที่สุด ประมาณ 85% ของคนญี่ปุ่นจะชอบใช้เวลาที่มีทิ้งไปกับการอาบน้ำ แถมในปี 2010 มีผู้มาใช้บริการอาบน้ำสาธารณะนี้ ทั้งในและนอกประเทศ มากถึง 128 ล้านคนเลยทีเดียว

ดูเหมือนว่า พวกเขาอาจค้นพบบางสิ่งบางอย่าง นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นยืนยันว่า อาบน้ำในน้ำแร่สามารถรักษาโรคไขข้ออักเสบ ความผิดปกติของผิวหนัง และโรคประสาทได้ และถ้าคุณชอบใช้เวลาในการอาบน้ำเพื่อทำสมาธิในชีวิตประจำวัน อย่างพวกเราแล้วเนี่ย เป็นปรโยชน์ต่อสุขภาพเช่นกันนะ: สองในสามของผู้ป่วยที่ทำสมาธิในลักษณะนี้ ทำให้ความดันโลหิตในตัวพวกเขาลดต่ำลง

ญี่ปุ่นมักหาเวลาเพื่อจิบชาเสมอ

พิธีชงชาเป็นพิธีที่สวยงามของประเทศนี้ ประเพณีนี้ ซึ่งได้รับการศึกษามาหลายปีโดยผู้เชี่ยวชาญ มักจะจัดกันในตึกอาคารที่มีขนาดเล็ก ลักษณะคล้ายกับกระท่อมของฤาษี แนวคิดก็คือการนำจิตใจให้ละชีวิตประจำวันที่ยุ่งเหยิงไปชั่วครู่ และดื่มด่ำกับความสงบตรงหน้า

แม้จะมีพิธีกรรมเฉพาะเจาะจง แต่การดื่มชาก็เป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่นเช่นกัน พฤติกรรมนี้ทำให้พวกเขาอยู่ในกลุ่มประเทศที่ดื่มชาสิบอันดับแรก นำหน้าเพื่อนบ้านที่ใหญ่โตอย่างจีน ชาส่วนใหญ่ที่ดื่มกันในญี่ปุ่นจะมีสีเขียว ในความเป็นจริง ถ้าไม่มีการคัดเลือกเกิดขึ้นแล้วล่ะก็ คำว่า “ชา” ในภาษาญี่ปุ่นก็แปลว่า “สีเขียว” อยู่แล้ว

ชาเขียวไม่เพียงแต่อร่อยเท่านั้น (คุณเคยลอง ไอศกรีมชาเขียวกันยัง?) แต่ยังมีคุณประโยชน์มหาศาลอีกด้วย งานศึกษาได้เชื่อมโยงการดื่มชาเขียวไว้ว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็ง และยกระดับความสามารถในการรับรู้ให้สูงขึ้นอีกด้วย

สิ่งสุดท้ายที่ชาวญี่ปุ่นจะสอนคุณได้น่ะรึ? ทำตัวงี่เง่าบ้างก็ได้

โอเค เราไม่มีข้อมูล หรือสถิติมาสนับสนุนเรื่องนี้ล่ะนะ เราสามารถชี้ชัดให้คุณได้ว่า ลองไปดูหนังโฆษณาของญี่ปุ่นดู ว่ามันตลก งี่เง่าขนาดไหน ไม่ใช่แค่หนังโฆษณาอย่างเดียว มิวสิกวิดิโอ และรายการเกมโชว์ก็ด้วย รวมทั้งเรื่องเหลวไหลในรายการ “Is It Candy Or An Everyday Object?” หรือรายการ “marshmallow game.”

นักหัวเราะเพื่อสุขภาพได้ให้ค่าว่า เอ่อ… อืม…. ช่าวงพวกเขาเถอะ เอาเป็นว่า การหัวเราะช่วยให้คุณหลั่งสารเอ็นโดรฟินออกมา ซึ่งมันทำหน้าที่เพิ่มความต้านทานต่อความเจ็บปวด บรรเทาภาวะซึมเศร้า และยังช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย ฉะนั้นหัวเราะออกมาเลย!!!

ด้านเศรษฐกิจ

การย้ายทางด่วนพิเศษ เมโทรโพลิแทน เอ็กซ์เพรสเวย์ ถูกมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาตัวเมืองให้ดีขึ้น

โตเกียว เมืองหลวงอันใหญ่โตของประเทศญี่ปุ่น กำลังก้าวไปข้างหน้าด้วยแผนการจัดการทางด่วนที่อยู่เหนือหัวของสะพาน นิฮงบาชิ อันมีชื่อเสียง โครงการนี้เริ่มขึ้นหลังจากผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น ได้ออกมาประท้วงว่าการวางโครงสร้างของทางด่วนนั้น มันบดบังทัศนยภาพของสะพานจนหมดความสวยงาม

“สะพานนิฮงบาชิ เป็นสะพานสายหลักของญี่ปุ่น!!!” เคอิจิ อิชิอิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดินและการขนส่งกล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ “มันจะได้รับการจุติใหม่ เป็นสะพานที่คุณสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้อย่างปลอดโปร่ง”

ภายใต้แผนงานนี้ การเคลื่อนย้ายจะดำเนินการหลังจากจบการแข่งขัน โตเกียว โอลิมปิก 2020 รวมไปถึงโครงการฟื้นฟูพื้นที่อื่นๆอีกด้วย

สะพานความยาว 49 เมตรนี้ ถือเป็นสินทรพย์ทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เปรียบได้กับสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมสมัยเอโดะ และเป็นต้นสายให้กับ โกไคโดะ ถนนหลักห้าสายที่ลำเลียงผู้คนและสินค้าข้ามญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้นๆ ทางด่วน เมโทรโพลิแทน เอ็กซ์เพรสเวย์ถูกสร้างยาว 6 เมตรเหนือนิฮงบาชิเพื่อเตรียมใช้ในงาน โตเกียว โอลิมปิก เมื่อปี 1964 บดบังทิวทัศน์เหนือสะพานไปเสียหมด ซึ่งผู้อาศัยในละแวกนั้น ทำการร้องขอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าให้ย้ายทางด่วนนี้ลงใต้ดินเสีย

เมื่อสิ้นปี 2005 นายกรัฐมนตรี จูนิชิโร่ โคอิซุมิ แนะว่าให้ทำการปรับปรุงทัศนียภาพ มีการตั้งกลุ่มขึ้นมาหลายกลุ่ม มีกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า “คืนท้องฟ้าให้กับนิฮงบาชิ” กลุ่มนี้รวมกันโดยมีแกนนำเป็น ฮิโรชิ โอคุดะ ที่ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าสหพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นในเวลานั้น อีกกลุ่มชื่อ “การพัฒนาแบบบูรณาการของเมือง แม่น้ำ และถนน”

ตัวโครงการไม่ได้ถูกดำเนินอย่างจริงจัง แต่ยังมีการพูดคุยถกเถียงกันตลอดมา ในปี 2012 คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงคมนาคมได้มีมติตกลงกันว่า  “ให้ดำเนินการฟื้นฟูทางด่วนเมโทรโพลิแทน รวมถึงเคลื่อนย้ายมันลงใต้ดินซะ”

ต่อมากลางเดือนกรกฎาคม เทศมนตรีเมืองชูโอะ สัญญาว่าจะรับมือกับการวางโครงสร้างใหม่ ทำให้มันเป็นรูปธรรมและสัมฤทธิ์ผล กระทรวงการคมนาคม ซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการทางด่วนนี้ จะเป็นผู้กำหนดโครงสร้าง และส่วนต่างๆที่จะต้องเคลื่อนย้ายเอง ขณะที่ทางการโตเกียวก็ได้เริ่มร่างแบบพิมพ์เขียวโครงการพัฒนาชุมชนกันแล้ว การอภิปรายจะเริ่มต้นจากการย้ายบางส่วนของทเคบาชิ ไปที่ทางใต้ดินเอโดบาชิ คาดว่าโครงการนี้จะใช้เม็ดเงินในการดำเนินงานถึง 500 พันล้านเยน (4.5 พันล้านดอลลาร์) โดยมีส่วนแบ่งให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละราย โดยจะพิจารณาในภายหลัง

การเคลื่อนย้ายทางด่วนนี้จะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ได้ดี ชุบชีวิตให้ นิฮงบาชิ ได้มีโฉมหน้าใหม่ให้กับเมืองหลวง “เราจะย้ายทางด่วนนี้ไปยังใต้ดิน เชื่อมเข้ากับการพัฒนาชุมชนด้วยกัน” ยูริโกะ โคอิเคะ เจ้าหน้าที่รัฐของกรุงโตเกียวเน้นย้ำในงานแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา “ฉันอยากทิ้งอนาคตไว้กับโตเกียวที่คนจะภูมิใจในอีก 100 ปีข้างหน้า” โคอิเคะหวังจะพัฒนาพื้นที่แถว โอเตะมาจิ กับนิฮงบาชิ ให้เป็นพื้นที่ศูนย์การค้าเพียงหนึ่งเดียว รวบรวมกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพและบริษัทคู่ค้าอื่นๆ เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายของเธอที่จะทำให้โตเกียวกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก

“นิฮงบาชิถือเป็นจุดศูนย์กลางสำคัญของญ่ปุ่นเมื่อสมัยก่อน” โยชิฮิเดะ ซุกะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในวันเดียวกัน “การย้ายทางด่วนนี้ลงไปใต้ดินจะทำให้เมืองมีชีวิตชีวาขึ้นทั่วทั้งเมือง”

“การย้ายทางด่วนเป็นความใฝ่ฝันอันน่าจดจำของชาวบ้านในท่องถิ่นนี้มานานแล้ว” โยชิฮิเดะ ยาดะ นายกเทศมนตรีเมืองชูโอะกล่าวเสริม “ผมปลาบปลื้มมากที่เราได้ลงมือทำกันเสียที”

ในปีงบประมาณนี้ สามเขตในพื้ที่ของนิฮงบาชิ คาดว่าจะได้รับการอนุมัติเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเป็นสภานภาพที่ดีในการเร่งโครงการฟื้นฟูแลพัฒนาเขตรอบๆได้เป็นอย่างดี ส่วนการพัฒนาเขตสำนักงานในขณะนี้ก็ได้ความร่วมมือจากบริษัทหลายบริษัทที่ยื่นมือเข้ามารับหน้าที่เป็นผู้นำในโครงการนี้ ได้แก่บริษัท มิตสุอิ ฟุโด้ซัง องค์กรพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โนมูระ และโตเกียว ทาเทะโมโนะ ยิ่งไปกว่านั้น ทางนิคมมิตซูบิชิก็ได้เริ่มวางแผนการก่อสร้างตึกสำนักงานที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีความสูงประมาณ 390 เมตร ใกล้เคียงกับนิฮงบาชิอีกด้วย

ภาวะวิกฤติห้องพักโรงแรมในญี่ปุ่นอาจมีมากจนเกินความจำเป็น

การสำรวจครั้งใหม่พบว่ามีห้องพักเพิ่มขึ้น 65,000 ห้องภายในปี 2020

ที่โตเกียว ญี่ปุ่น กำลังกลัดกลุ้มกับการที่ห้องพักโรงแรมไม่มีเหลือสำรองไว้เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่พุ่งสูงขึ้นและเป็นเมืองหลวงที่เตรียมการเพื่อจะเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกปี 2020.

แต่ทั่วทั้งประเทศได้ติดป้ายไฟว่า “ขอโทษที ไม่มีห้องว่างแล้ว” หรือเปล่าล่ะ?

การสำรวจล่าสุดโดยบริษัทให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่โตเกียว CBRE กล่าวว่า ญี่ปุ่นไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล มันแสดงให้เห็นว่าในปี 2020 หรือราวๆนั้น แปดเมืองใหญ่จะเจอกับการเพิ่มขึ้นโดยรวมของห้องพักประมาณ 65,000 ห้อง เพิ่มขึ้น 26 เปอเซ็นต์จากระดับปัจจุบัน

สิ่งนี้คงจะมากพอเพื่อป้องกันการขาดแคลนใดๆของโอลิมปิก

อันที่จริง การที่เพิ่มห้องใหม่เข้ามาทั้งหมดอาจทำให้เสียของก็ได้

ตามการสำรวจ โตเกียวคาดไว้ว่าจะมีห้องพักอีก 25,000 ห้องภายในปี 2020 หรือหลังจากนั้นไม่นาน คิดเป็นเพิ่มขึ้นอีก 25.6 เปอเซ็นต์ จำนวนห้องพักในโอซาก้าคาดไว้ว่าจะเติบโตขึ้นถึง 18,000 ห้องในเวลานั้น หรือเพิ่มขึ้นอีก 34.9 เปอเซ็นต์

เกียวโตคาดคะเนไว้ว่าจะเพิ่มห้องอีก 8,000 ห้อง คิดเป็น 36.1 เปอเซ็นต์ อ้างอิงถึงการสำรวจ

ห้องพักในเมืองหลวงโบราณ สถานที่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวใหญ่ๆ กลายเป็นทรัพยากรช่วงสั้นๆ

ก่อนหน้านั้นไม่นาน สถาบันวิจัยมิซุโฮะประมาณการณ์ไว้ว่าโตเกียวจำเป็นต้องมีห้องพักเพิ่มขึ้นอีก 16,700 ห้องภายในปี 2016 เพื่อให้ทันกับความต้องการในปี 2020 สถาบันมิซุโฮะยังคงคาดการณ์อีกว่าโอซาก้าต้องการห้องพักเพิ่มอีก 13,300 ห้อง

อ้างถึงสถาบันการท่องเที่ยวแห่งชาติญี่ปุ่น การเข้ามาของชาวต่างชาติในญี่ปุ่นสร้างสถิติถึง 24 ล้าน คนในปี 2016 มันเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้บางโรงแรมเกือบเต็มตลอดปี

แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ที่จริงแล้ว อุตสาหกรรมกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนธุรกิจโรงแรมมากกว่า

และห้องพักส่วนใหญ่ที่จะถูกเพิ่มขึ้นในช่วงสองสามปีถัดไปถูกคาดหวังไว้ว่าจะอยู่ในธุรกิจโรงแรม เช่นตัวอย่าง APA Group ในญี่ปุ่น วางแผนไว้ว่าจะเปิดโรงแรมอีก 47 แห่ง ด้วยห้องพักรวมกันถึง 14,500 ห้องจนถึงปี 2020

ในโตเกียว โรงแรมหลายแห่งกำลังประสบกับอัตราการเข้าพักที่ซบเซา อัตราที่ Shibuya Excel Hotel Tokyu ลดลงถึง 88 เปอเซ็นต์ในปีงบประมาณ 2016

ขณะนี้ความกลัวของจำนวนปริมาณมากกำลังซัดสาดไปทั่วตลาดอสังหาริมทรัพย์โรงแรม

การซื้อขายโรงแรมเคยทำกำไรได้มากสุดในปี 2015 เมื่อการทำกำไรของโรงแรมก้าวกระโดด ขอขอขอบคุณนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกคน

ยาซาโอคาซุ เทราดะ เจ้าหน้าที่อสังหาริมทรัพย์อาวุโสของผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ JLL กล่าวว่าหลายกองทุนเชื่อว่า “ตอนนี้แหละคือเวลาที่ต้องขจัด [กิจการโรงแรม] ออกจากภัยคุกคามของความไม่แน่นอนในอนาคตให้หมดไป”

นาโอกิ โยชิยามะ กรรมการบริษัทอาวุโสของ CBRE กล่าวว่าโรงแรมทั้งหลายจะต้องสร้างความแตกต่างให้แก่ตัวเองเพื่อเอาชนะการจองห้องพัก

เพื่อเป็นตัวอย่างของกิจการที่ได้สร้างความแตกต่างในตัวมันเองแล้ว โยชิยามะยกตัวอย่างเป็น Ascott Marunouchi Tokyo ที่อยู่ใจกลางของเขต Otemachi มันมีการบริการอพาร์ตเมนท์ที่หรูหราสำหรับครอบครัวที่มีฐานะจากต่างประเทศเพื่อมาพักระยะยาว กิจการนั้นเปิดเมื่อเดือนเมษายน และห้องพักแต่ละห้องนั้นมีห้องครัวและเครื่องซักผ้าในตัว

ความจริงเกี่ยวกับการล่าวาฬแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นระบุว่าการล่าวาฬเป็นประเพณีทางวัฒนธรรมที่มีมานานหลายศตวรรษ พวกเขาเชื่อว่าพวกเขามีสิทธิ์โดยธรรมชาติที่จะสืบสานวัฒนธรรมนี้ต่อไป

แต่มันเป็นประเพณีได้ยังไง?

มันมีหมู่บ้านชาวญี่ปุ่นที่ไม่สุงสิงกับผู้คนอยู่สองสามหมู่บ้านที่เคยฆ่าวาฬในอดีต แต่ญี่ปุ่นในขณะนั้นนิยมล่าวาฬน้อยมากจนกระทั่งผู้ชายชื่อ จุระ โอกะ เดินทางไปที่นอร์เวย์ อะโซร์ส และดินแดนที่เพิ่งค้นพบในช่วงกลางของยุค 1890 เพื่อศึกษาการล่าวาฬ เขาได้เรียนรู้การล่าวาฬและซื้ออุปกรณ์การล่าวาฬจากชาวนอร์เวย์ ดังนั้นการค้าการตลาดเกี่ยวกับการล่าวาฬในญี่ปุ่นจึงเริ่มขึ้นในปี 1898 ยาวนานหลังจากอุตสาหกรรมได้ก่อตั้งขึ้นในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา

ในปีแรก บริษัทล่าวาฬญี่ปุ่นบริษัทแรกคือ โฮเกอิ กุมิ ด้วยเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ชื่อว่า ไซไก มารุ ได้ฆ่าวาฬไปจำนวนทั้งหมด 3 ตัว นักแทงฉมวกและลูกเรือเป็นชาวนอร์เวย์ บริษัทนั้นเจ๊ง โอกะเลยเริ่มก่อตั้บริษัทใหม่ในชื่อว่า นิฮอน เอ็นโย เกียวเกียว เค.เค. ในวันที่ 20 กรกฎาคม 1899 ในยามากุชิ และเป็นอีกครั้งที่บริษัทจ้างชาวนอร์เวย์ในตำแหน่งนักแทงฉมวกและลูกเรือ

ต่อมานอร์เวย์ได้รู้สึกเสียใจที่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ญี่ปุ่นเพื่อเรียนรู้การล่าวาฬ หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้เขียนทำนายไว้ว่า “เมื่อไหร่ก็ตามที่ญี่ปุ่นได้ปรากฏตัวในการล่าวาฬครั้งใดๆ ชาวนอร์เวย์จะต้องถูกเนรเทศทันที!”

บริษัทล่าวาฬอื่นๆเริ่มถือกำเนิดขึ้นและล้มเหลวลง แต่ในปี 1908 บริษัท นิฮอน โฮเกอิเกียว ซุอิซาน คุมิอาอิ ได้ก่อตั้งขึ้นแต่อย่างไรก็ตามถูกรู้จักกันในชื่อ สมาคมการล่าวาฬในญี่ปุ่นโดยมี จุระ โอกะ เป็นประธานคนแรก สมาคมนี้ในปี 1908 มีบริษัทเข้าร่วมด้วย 12 บริษัท และมีจำนวนเรือล่าวาฬทั้งหมด 28 ลำ ได้ฆ่าวาฬไปทั้งหมด 1,312 ตัวในปีนั้น ฆ่าเฉลี่ยของการฆ่าวาฬใน 25 ปีต่อมาน่าจะอยู่ราวๆ 1,500 ตัว

โอกะเป็นผู้ที่โหดเหี้ยมที่ได้กระทำต่อวาฬอย่างกับฮิตเลอร์ที่ได้ปฏิบัติต่อชาวยิว เขาได้คุยโวไว้ในปี 1910 ว่า “ผมเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าเราจะกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ล่าวาฬที่ใหญ่ที่สุดในโลก วันนั้นจะมาถึงเมื่อเราได้ยินว่าวาฬนั้นถูกจับที่แถบอาร์กติคในตอนเช้าและในตอนเย็นว่าวาฬนั้นถูกล่าที่แอนตาร์กติค”

นักล่าวาฬชาวญี่ปุ่นที่ปฏิบัติการระหว่าง ญีปุ่นและเกาหลีนั้น ตกเป็นผู้รับผิดชอบในการทำให้ประชากรวาฬสีเงินนั้นลดลงแทบจะสูญพันธุ์ โดยในปี 1915 เลหือประชากรวาฬชนิดอยู่เพียง 150 ตัวเท่านั้น

นอร์เวย์ บริเตน เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนี เป็นประเทศที่ล่าวาฬกันเป็นล่ำเป็นสันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาไล่ล่า และฆ่าวาฬกันอย่างขาดสำนึกอนุรักษ์ ช่วงปี 1930 เป็นช่วงที่มีการล่าและสังหารวาฬกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในปี 1937 วาฬสีน้ำเงินกว่า 37,438 ตัวถูกฆ่าตายในมหาสมุทรทางใต้ ประเทศญี่ปุ่นทำการส่งเรือลำแรกของพวกเขาลงแล่นในน่านน้ำแอนตาร์กติกาเมื่อปี 1935 กำไรจากการค้าน้ำมันวาฬ ช่วยในเรื่องการเงินของประเทศญี่ปุ่นที่ต้องการทุนเพื่อไปบุกยึดแมนจูเรีย และประเทศจีนได้เป็นอย่างดี นับแค่ปี 1930 เพียงอย่างเดียว ก็มีวาฬถูกสังหารไปกว่า 55,000 ตัวแล้ว

เนื่องจากจำนวนวาฬที่ถูกฆ่าเริ่มมากเกินกว่าจะยอมรับได้ อนุสัญญาเจนีวาเพื่อควบคุมการล่าวาฬจึงเป็นที่ยอมรับในปี 1935 กระนั้น เยอรมนีและญี่ปุ่นกลับปฎิเสธที่จะลงนาม ปฏิเสธที่จะล่าวาฬตามที่กำหนด และกลายเป็นสองประเทศแรกที่ล่าวาฬกันอย่างนอกกฏหมาย ในปี 1939 เยอรมนีและญี่ปุ่น ได้ครอบครองการล่าวาฬมากถึง 30% ของจำนวนวาฬทั้งโลก

อนุสัญญานี้ได้ประกาศให้เขตแอนตาร์กติกาเป็นเขตสงวนพันธุ์วาฬ และเรียกร้องให้มีการคุ้มครองวาฬหลังค่อมอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่หลายคนหวาดกลัวกันว่าใกล้จะสูญพันธุ์เต็มทีแล้ว

แม้จะทุ่มแรงไปให้กับการควบคุมการล่าวาฬมากขนาดไหน แต่วาฬกลับถูกฆ่าเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า พร้อมกับจำนวนเรือที่ออกล่าวาฬอย่างผิดกฏหมายก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเช่นกัน

เป็นโชคดีของวาฬที่ในปี 1939 เผ่าพันธุ์มนุษย์กลับหันมาฆ่ากันเอง ถือได้ว่าเป็นข้อแก้ตัวให้กับประเทศที่ล่าวาฬกันอย่างหนักมาเป็นเวลา 6 ปี หลังสงครามจบลง แม้กระทั่งประเทศล่าวาฬก็เริ่มมองย้อนกลับไปถึงหายนะที่พวกเขาได้กระทำต่อพวกวาฬในปี 1930 และคณะกรรมาธิการวาฬนานาชาติ (IWC) ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นการป้องกันอุตสาหกรรมจากการทำลายตัวเอง

สงครามถือเป็นมาตรการอนุรักษ์ที่สำคัญที่สุดในการยุติการสังหาร หนึ่งในสามของเรื่อล่าวาฬทั้งหมดถูกทำลายลง แต่การล่าวาฬยังคงดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 1944 -1945 วาฬ 6,000 ตัวถูกฆ่า และจำนวนดังกลาวจะเริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจบสงคราม

ตามที่รัฐตรีต่างประเทศของอเมริกา คณบดี เอชสัน กล่าวไว้ในปี 1946 ว่า “หุ้นตลาดวาฬของโลกนั้น เป็นแหล่งข้อมูลระหว่างประเทศอย่างแท้จริง ไม่ได้เป็นของประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือของกลุ่มชาติใดชาติหนึ่ง แต่มันเป็นเสาหลักของโลกทั้งใบ”

ปัญหาก็คือมันมีชาวอเมริกันคนหนึ่งที่มีความคิดและแบบแผนเป็นของตนเองในปี 1946 เขาเป็นโชกุนชาวอเมริกันของญี่ปุ่น เขาคือ นายพลดักลาส แม็คอาเทอร์

กองเรือล่าวาฬสมัยใหม่ของญี่ปุ่นจริงๆแล้วเป็นการจัดตั้งของสหรัฐอเมริกา ในปี 1946 นายพล ดักลาส แม็คอาเทอร์ เสนอการจัดตั้งกองเรือล่าวาฬเพื่อป้องกันโปรตีนสำหรับคนญี่ปุ่นที่ถูกจับกุม เขาทำแบบนั้นเพื่อตัดต้นทุนของสหรัฐอเมริกาที่ใช้ในการขนส่งเสบียงอาหารมายังญี่ปุ่นหลังสงครามโลก

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1946 แม็คอาเทอร์ลงนามในคำสั่งอนุญาตให้เรือโรงงานสองลำและเรือจับปลาสิบสองลำเริ่มการล่าวาฬในช่วงแอนตาร์กติกในช่วงปี 1946-1947 ได้

ข้อตกลงคือญี่ปุ่นจะได้เนื้อวาฬไปและส่งน้ำมันวาฬไปให้กับสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงจำนวน 800,000 เหรียญสำหรับเรือและได้รับน้ำมันวาฬมูลค่ามากกว่า 4 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ

เรือท้งสองลำที่ถูกส่งไปยังมหาสมุทรแอนตาร์กติกคือ ฮาชิดาเตะ มารุ และ นิชิน มารุ

การล่าวาฬในครั้งแรกนี้เป็นคำสั่งของแม็คอาเทอร์โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก IWC ที่เพิ่งถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่

เรือนั้นบรรจุผู้สังเกตุการณ์ทั้งชาวอเมริกันและชาวออสเตรเลีย แต่พวกเขาไม่ใช่กลุ่มที่ผักดันใช้กฏระเบียบด้านการอนุรักษ์ ผู้สังเกตการณ์คนหนึ่งชื่อ เดวิด อาร์. แม็คคลากเคน ผู้เขียนหนังสือ สี่เดือนบนเรือล่าวาฬญี่ปุ่น ยิงนกอัลบาทรอสบนดาดฟ้าของเรือ ฮาชิดาเตะ มารุ อยู่บ่อยๆ

เขาเขียนว่า “ในตอนที่ยิงครั้งที่สี่ของคลิปที่สองผมเด็ดปีกนกนั้นได้ ปีกขวาของนกตัวนั้นห้อยแกว่งไปแกว่งมา นกตัวนั้นมันยังไม่ตาย มันดูงุนงงสับสนเมื่อมันพยายามกระพือปีกข้างที่บาดเจ็บ มันสูญเสียการทรงตัวอย่างช้า ในที่สุดมันก็พุ่งลงน้ำและพยายามที่จะบินขึ้นอีก แต่มันไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ความตายช้าๆจากความอดอยากรอเจ้าเหยื่อที่น่าสงสารอยู่ ผมไม่ได้ยิงอีกเลยทั้งวันนับจากครั้งนั้นเพราะผมพึงพอใจมาก”

แม็คคลากเคนยังจับเพนกวินได้อีกด้วยและตั้งชื่อว่า เพนนี และเก็บไว้เป็นสิ่งที่ให้ความบันเทิงจนกระทั่งเพนกวินนั้นขาดอาหารจนตาย เขาเคยพยายามที่จะบังคับให้เพนกวินกินอาหารและอธิบายว่า “อย่างกับการจลาจลที่ต้องเฝ้าระวัง”

แม็คคลากเคนถลกหนังเพนนีและเล็บของมันถูกยึดทรัพย์โดยศุลกากรสหรัฐเมื่อเขากลับมายังสหรัฐ พวกเขาอนุญาตให้แม็คคลากเคนเก็บตัวอ่อนวาฬไว้นขวดโหลดองได้

เขาไม่ค่อยมีอะไรจะพูดเกี่ยวกับการฆ่าวาฬมากนักนอกจากเรื่องที่เขาเฝ้าดูวาฬฟินที่ถูกฉมวกแทง ลากเรือน้ำหนัก 350 ตัน ด้วยความเร็ว 4 น็อต จนวาฬนั้นอ่อนกำลังลงและพวกเขาแทงฉมวกอีกทีเพื่อฆ่ามัน

ญี่ปุ่นฆ่าวาฬโดยไม่ผ่านการตรวจสอบและกฎระเบียบของ IWC จนกระทั่งพวกเขาตกลงที่จะเข้าร่วมในปี 1951 ในขณะนั้นสหรัฐอเมริกาได้กำไรอย่างมหาศาลจากการขายน้ำมันวาฬอย่างผิดกฎหมาย

ด้วยความช่วยเหลือจากสหรัฐ ญี่ปุ่นกลายเป็นปฏิบัติการล่าวาฬที่ใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงปี 1970

บทความบน New Zealand Herald เมื่อเร็วๆนี้ที่ถูกเขียนโดย ลินคอร์น แทน บอกว่า การกินเนื้อวาฬนั้นเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น เขาเขียนว่า “ดังนั้นการโจมตีการล่าวาฬก็เปรียบเสมือนการโจมตีวัฒนธรรมญี่ปุ่นด้วย”

นี้เป็นวิธีการประชาสัมพันธ์ที่ชาวญี่ปุ่นกำลังใช้อยู่ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ยุติธรรมสักเท่าไหร่ การล่าวาฬได้รับการฝึกฝนขึ้นโดยหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ไม่กี่แห่งย้อนกลับไปในสมัยศตวรรษที่ 16 แต่การล่าวาฬแบบดั้งเดิมนี้เป็นการล่าขนาดเล็ก เป็นการล่าโดยวิธีการลากแหออกจากฝั่ง จำนวนชาวญี่ปุ่นน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ที่มีส่วนในการล่าวาฬด้วยการเป็นผู้บริโภคจนถึงปี 1908 และน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีส่วนในการเป็นผู้บริโภคจนถึงปี 1930 ปัจจุบันมีชาวญี่ปุ่นจำนวนน้อยเท่านั้นที่บริโภคเนื้อวาฬ

ชาวจีนไม่มีวันลืมเลยว่ามันเป็นเพราะกำไรที่งอกงามของการขายน้ำมันวาฬโดยญี่ปุ่นที่ทำให้มีทุนสำรองในการบุกรุกแมนจูเรีย จีน และนำไปสู่การข่มขืนที่นานกิง

การล่าวาฬสมัยใหม่เป็นการปฏิบัติที่ยืมมาจากชาวนอร์เวย์เนื่องจากนักธุรกิจที่โหดเหี้ยมชื่อว่า จุระ โอกะ ซึ่งจ้างชาวนอร์เวย์และซื้ออุปกรณ์นอร์เวย์มาเพื่อก่อร่างสร้างการล่าวาฬเชิงพาณิชย์

ปัจจุบันนี้ ญี่ปุ่นกำลังพยายามฆ่าวาฬมากขึ้นเรื่อยๆ โฆษกของอุตสาหกรรมการล่าวาฬของชาวญี่ปุ่นชื่อว่า โจจิ โมริชิตะ ได้แถลงการณ์ต่อสาธารณะว่า การล่าวาฬไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินหรือความภาคภูมิใจ โมริชิตะให้คำปฏิญาณว่าญี่ปุ่นจะไม่ยอมจำนนต่อมุมมองการต่อต้านการล่าวาฬจากคนที่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น

การฆ่าวาฬอย่างทารุณนั้นกลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ ญี่ปุ่นเป็นที่จดจำด้วยเลือดและการฆ่าอยู่แทบทุกครั้ง จากการกุดหัวโดยซามูไรที่กระทำต่อชาวบ้านบริสุทธิ์ไปจนถึงฝูงบินพลีชีพฆ่าตัวตายกามิกาเซะ ความรุนแรงและการทำร้ายตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาโดยตลอด

การฆ่าอย่างจงใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับวาฬ แต่เกิดขึ้นกับโลมาบนชายหาดญี่ปุ่นซึ่งเกือบจะกลายเป็นพิธีกรรมทางศาสนา การฆ่าเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนานี้แหละที่เป็นวัฒนธรรมสืบต่อกันมา

“เราฆ่า เราจึงดำรงอยู่” คือวิธีที่ดีที่สุดในการมองลักษณะเฉพาะนี้และมันไม่ใช่มุมมองที่ดีต่อสุขภาพเลย ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นได้พิสูจน์แล้วว่าไฟและเลือดเป็นมุมองที่ไม่ดีได้อย่างไร

ชาวญี่ปุ่นบอกว่าเราต้องเคารพวัฒนธรรมของเราเอง ผมไม่สามารถตอบโต้ด้วยการถามว่าทำไมได้ อะไรคือวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เราต้องเคารพ เราสามารถเลือกที่จะเคารพงานเลี้ยงน้ำชาอย่างมีสิทธิ์ได้ เราสามารถเลือกที่จะเคารพโอริกามิ อิเกบานะ บอนไซ การแสดงโนะ ซูโม่ เซ็น และลัทธิชินโต

เรายังสามารถเลือกที่จะไม่เคารพ เซ็ปปุกุ ความไม่เท่าเทียมกันทางชนชั้น ฝูงบินพลีชีพกามิกาเซะ และการสังหารวาฬและโลมา

ไม่มีชาวตะวันตก ชาวจีน อินเดีย หรือ อาหรับ ผู้ใดที่อยู่ภายใต้ทางวัฒนธรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อยอมรับการสังหารที่ผิดมนุษย์และกีฬาละเลงเลือดนี้ มนุษย์ทุกๆคนมีสิทธิ์ที่จะไม่เคารพการฆ่าไม่ว่าด้วยรูปแบบใดๆโดยปราศจากการถูกกล่าวโทษและการใส่ความ

กลุ่มปกป้องการล่าวาฬของญี่ปุ่นได้ใส่ร้ายกล่าวหาว่ากลุ่มที่ปกป้องวาฬนั้นเป็นพวกเหยียดสีผิวเพราะต่อต้านการฆ่าวาฬ การต่อต้านการฆ่าทุกๆอย่างไม่สามารถถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการเหยียดสีผิวหรือแบ่งแยกชนชั้นได้ มันไม่มีเหตุผลทางเชื้อชาติหรือวัฒนธรรมสำหรับการฆ่า ไม่มีเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำการใดๆที่ไม่ใช่ และไม่เคยเป็น วัฒนธรรม